บทที่ 179: เขาวงกต (3)
ครืนนนน
แรงสั่นสะเทือนแผ่ขยายไปทั่วทั้งเขาวงกต
มันเบาบางอย่างมาก ทว่าทุกคนรับรู้ถึงมันได้
ในขณะที่ผู้คนกำลังพูดคุยกันเองว่าสัตว์อสูรสามสายพันธุ์อีกตัวอาจจะกำลังโจมตีอีกส่วนหนึ่งของเขาวงกต
ฮันซูขมวดคิ้ว
‘มันมาแล้วงั้นเหรอ’
แรงทำลายล้างมหาศาลที่ทำให้กระทั่งพื้นดินสั่นสะท้าน
มันมีเพียงอย่างเดียวที่สามารถสำแดงพลังแบบนั้นออกมาได้โดยที่ไม่มีป้อมปราการดาวเทียมที่น่าจะอยู่ใกล้ๆ นี่
‘… มันคือผู้ตัดสิน’
นักรบของเผ่าพันธุ์ชั้นสูงที่เติมเต็มช่องว่างระหว่างป้อมปราการดาวเทียมแต่ล่ะป้อม
ฮันซูพึมพำขณะที่เขารับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนลางๆ ที่กระจายมาตามกำแพงของเขาวงกต
พวกมันถูกเรียกว่าเผ่าพันธุ์ชั้นสูงโดยรวม ทว่าแต่ล่ะตัวล้วนมีพลังที่แตกต่างกัน
พวกที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาทั้งหมดและมีพรสวรรค์ในการควบคุมมานาจะได้รับเกียรติในการควบคุมป้อมปราการดาวเทียม จะได้รับหน้าที่ผู้ปกป้อง ผู้เก็บเกี่ยว หรือไม่ก็ผู้ตัดสิน
ความสามารถทางกายภาพของพวกมันไม่จำเป็นต้องยอดเยี่ยมอะไรมากในเมื่อพวกมันมีป้อมปราการดาวเทียมอยู่แล้ว
ในทางกลับกัน พวกที่มีร่างกายที่ยอดเยี่ยมกว่าจะทำหน้าที่นักรบ
พร้อมกับอาวุธที่ไม่จำเป็นในแนวหน้าที่มีป้อมปราการดาวเทียมอยู่
‘นี่น่าจะเป็น… อาคิอน’
ไม่ว่าความสามารถทางกายภาพของพวกมันจะยอดเยี่ยมแค่ไหน มันก็ยังคงมีขีดจำกัด
ในเมื่อร่างกายของพวกมันไม่มีทางที่จะดีไปกว่าร่างกายของสัตว์อสูรสามสายพันธุ์ได้
ซึ่งหมายความว่ามันมีทางเดียวในการที่พวกมันจะสามารถทำลายประตูได้
อาวุธที่เป็นสัญลักษณ์ของความโกรธาของสวรรค์
อาคิอน
ทุกการโจมตีของมันราวกับความโกรธเกรี้ยวของสวรรค์
ในเมื่อพลังของมันเทียบเท่าได้กับการโจมตีของป้อมปราการดาวเทียม แม้ว่ามันจะเชื่องช้ากว่าเล็กน้อยก็ตาม
ฮันซูเข้าไปใกล้กำแพงของเขาวงกตและแนบใบหูของเขาลงไป
กึง กึง กึง
กึง กึง กึง
แรงสั่นสะเทือนที่บางเบาอย่างมาก
แรงสั่นสะเทือนนับสิบเหล่านี้สามารถรับรู้ได้จากกำแพงเขาวงกต
เสียงฝีเท้าที่รีบร้อน
มันมีเพียงแค่หนึ่งในสองกรณี
ว่าคนเหล่านั้นคือคนที่ติดอยู่ด้านในเขาวงกตหลังจากที่หนีมาหาที่ปลอดภัยเหมือนกับพวกที่อยู่ด้านหลังเขาในตอนนี้
หรือสุนัขล่าเนื้อที่ผู้ตัดสินปล่อยออกมา
‘ดูเหมือนว่าฉันจะต้องรีบแล้ว’
ฮันซูจัดการบาดแผลของเขาจากนั้นจึงเริ่มเคาะกำแพง
ก๊อง ก๊อง ก๊อง ก๊อง
ก๊อง ก๊อง ก๊อง
‘คราวนี้เขาทำบ้าอะไรอีก…’
ในขณะที่คาร์ฮาลยักไหล่ใส่ฮันซู
เมรีลินที่กำลังตรวจสอบประตูที่ปิดลงแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังออกมา
‘ฉันเปิดมันไม่ได้ ไม่ว่ายังไงก็ตาม’
ประตูถูกปิดสนิท
ร่องรอยของสัตว์อสูรสามสายพันธุ์
อุโมงค์ที่มืดมิด
‘ไม่ ฉันจะติดอยู่ในนี้ไม่ได้’
เธอไม่เคยกระทั่งจินตนาการว่าเธอจะตายในสถานที่แบบนี้
ลักษณะพิเศษของเธอถูกยอมรับและเธอได้รับข้อเสนอมากมาย
<ลักษณะพิเศษของเธอดูจะมีค่าสำหรับเรามาก เอานี่ไป… และมาที่นี่ก่อนในตอนแรก… เขตสีเขียว มันไม่น่าจะยาก เธอจะต้องผ่านถนนสีเขียวไปถ้าทุกอย่างยังเป็นแบบที่มันควรจะเป็น แต่ลักษณะพิเศษของเธอมันมีค่ามากเกินไป ดังนั้นเราจะปล่อยให้เธอไปในที่แบบนั้นไม่ได้ ฉันบอกอะไรเธอไม่ได้มากเพราะสาเหตุบางอย่าง แต่ตอนนี้รู้แค่นั้นก็พอ ในเมื่อผู้เฝ้ามองจะบอกทุกอย่างที่เธอควรจะรู้ ถ้าเธอทำตามที่ผู้เฝ้ามองบอก… เมทิรอนจะต้อนรับเธออย่างดี>
‘เวรเอ้ย… ไม่ยาก!? พวกมันกล้าล้อเล่นกับฉันงั้นเหรอ?’
เมรีลินกำของที่อยู่ในมือของเธอแน่น
หินเล็กๆ ที่หัวหน้าการ์ดในหมู่บ้านของเธอ อีพอน มอบให้กับเธอ
อีพอนบอกเธอ
ว่าถ้าเธอเก็บของนี่เอาไว้ ป้อมปราการดาวเทียมจะมาพาเธอไป
เธอไม่เชื่อมันในตอนแรก แต่เธอจำเป็นต้องเชื่อมันหลังจากที่เห็นอีพอนคุยกับดาคิดัส ผู้เก็บเกี่ยว
ในเมื่อมันเป็นครั้งแรกที่เธอเห็นผู้เก็บเกี่ยวคุยกับใครนานขนาดนั้น
และเพราะแบบนั้น เธอจึงไม่ได้สนใจผู้ติดตามของเธอในครั้งนี้มากนัก
ในเมื่อเธอแค่จะมุ่งหน้าไปยังที่ที่เธอจะสามารถขึ้นไปยังป้อมปราการดาวเทียมได้และออกไป
แต่นี่มันอะไรกัน
ผู้เฝ้ามองที่ควรจะมากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย และเธอได้ติดอยู่ในรังเวรๆ นี่ด้วยฝีมือของสัตว์อสูรที่เธอไม่แม้แต่จะสามารถสื่อสารได้
เธอไม่เคยคิดถึงเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน
‘เชี่ย! บัดซบ!’
เธออยากจะทำลายทุกอย่างที่อยู่ใกล้ๆ เธอ แต่เธอทำเพียงอดกลั้นอารมณ์โกรธของเธอและทำใจให้สงบลง
ในเมื่อการกระทำโง่ๆ แบบนั้นไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเธอเลย
เธอต้องเยือกเย็นเข้าไว้
‘ใจเย็น ฉันอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าคนอื่นๆ มาก’
เมรีลินเริ่มหายใจเข้าออกแรงๆ
เธอไม่รู้ว่าคนของหัวหน้าการ์ด อีพอน หรืออารูคอนอยู่ที่ไหน แต่ถ้าเธอเจอพวกที่แข็งแกร่งแบบนั้น เธอก็จะสามารถมีชีวิตรอดได้
อีกฝ่ายจริงจังเกินกว่าที่จะทำมันเป็นเรื่องเล่นๆ
มันน่าจะมีข้อผิดพลาดบางอย่าง และเธอและออกไปจากที่นี่แล้วแก้ไขมัน
และเมื่อคิดเช่นนั้นแล้วมันก็ทำให้เธอผ่อนคลายขึ้น
ในเมื่อเธอไม่จำเป็นต้องฝ่าถนนสีเขียวที่มีสัตว์อสูรแบบที่เธอเจอก่อนหน้านี้เดินเพ่นพ่านไปทั่ว
‘แค่สนใจอย่างเดียว ฉันแค่ต้องหาคนพวกนั้นให้พบ’
เธอเริ่มสบายใจมากขึ้นเมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจน
เมรีลินสงบใจลงและมองไปยังสามคนเบื้องหน้าเธอ
เธอจ้องไปยังคนเหล่านั้นอย่างโกรธแค้น แต่ก็เหมือนกับที่ผู้หญิงคนนั้นพูด มันไม่ใช่เวลามาสู้กัน
และเธอก็ไม่มีความมั่นใจใดๆ ในการเอาชนะคนพวกนั้นถ้าพวกเธอสู้กันที่นี่
‘โดยเฉพาะหมอนั่น…’
เมรีลินกลืนน้ำลายลงคอขณะที่เธอมองไปยังชายที่กำลังตรวจสอบสถานที่รอบๆ และเคาะกำแพงที่ดูแปลกประหลาดนั่น
‘ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนั้นมาก่อน เขาเรียนสกิลพิเศษหรืออะไรแบบนั้นมารึไง?’
ชายที่รับลำแสงที่ทำลายทุกอย่างไว้ด้วยร่างกายของเขา
เธอเห็นคนที่แข็งแกร่งมามาก
หัวหน้าหมู่บ้านของพวกเธอเองก็ค่อนข้างแข็งแกร่งเช่นกัน และเธอก็เคยพบคนที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะมาบ้าง
แต่เธอไม่เคยเห็นชายที่อยู่ด้านหน้าเธอมาก่อน
‘ไม่ เดี๋ยวสิ หรือว่าเคย?’
เมรีลินส่ายศีรษะเมื่อคิดถึงอดีต
มันไม่ใช่ส่วนสำคัญ
สิ่งที่สำคัญคือการอยู่กับคนที่แข็งแกร่งแบบเขาจะสร้างประโยชน์ได้หลายอย่าง
การอยู่กับคนที่แข็งแกร่งมักจะมีประโยชน์เสมอ
‘ฉันต้องมีชีวิตรอดไม่ว่ายังไงก็ตาม… จนกว่าฉันจะเจอพวกเขา’
เมรีลินเอ่ยออกมาหลังจากที่คิดเสร็จ
“นายกำลังจะเข้าไปลึกกว่านี้เหรอ?”
เมื่อฮันซูผงกศีรษะตอบรับคำถามของเธอ เมรีลินก็ครุ่นคิดไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง
“ฉันถามได้ไหมว่านายมีเหตุผลอะไรที่จะเข้าไปลึกกว่านี้?”
“ฉันไม่คิดว่าเราจะสนิทกันมากพอให้พูดถึงเรื่องนั้นหรอกนะ”
คาร์ฮาลพลันเอ่ยแทรกขึ้น
‘ไอ้เวรเอ้ย’
ทว่าฮันซูไม่ได้ตอบ ดูเหมือนว่าเขาจะคิดแบบเดียวกับคาร์ฮาล
เมรรีลินเหลือบมองคาร์ฮาลก่อนจะเอ่ยขึ้นกับฮันซู
“เราจะตามไปได้ไหม?”
“หือ? เมรีลิน?”
ผู้คนด้านหลังเธอตื่นตระหนก
เธอกำลังพูดอะไรอยู่
พวกเขาควรจะพยายามออกจากไอ้ที่บัดซบนี่ แต่กับการที่พวกเขาจะต้องเข้าไปลึกกว่าเดิม
เมรีลินส่ายศีรษะขณะที่เธอพูด
“ฉันไม่คิดว่าเราควรจะใส่ใจกับการออกไปข้างนอกในตอนนี้นะ เราควรจะสนใจในการเอาชีวิตรอด แล้วมันก็ไม่มีอะไรรับประกันด้วยว่าเราจะสามารถออกไปด้านนอกได้ถึงแม้ว่าเราจะแยกกันก็ตาม”
พวกเธอต้องเลือกหนึ่งจากสองตัวเลือก
ทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อออกไป
หรือไปกับสามคนนี้
แต่มันไม่มีอะไรรับประกันว่าพวกเขาที่ไม่รู้อะไรแม้แต่น้อยเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้หรือว่าควรจะมุ่งหน้าไปทางไหนจะสามารถหาทางออกเจอได้
“อืม… จริง ฉันเดาว่ามันคงจะดีกว่าถ้าไปกับพวกนั้น”
คนคนหนึ่งผงกศีรษะ
สามคนนั้นคงไม่มุ่งหน้าไปหาความตายอยู่แล้ว
พวกนั้นน่าจะมีความมั่นใจอย่างมากถ้าพวกนั้นกำลังจะเข้าไปลึกกว่านี้
และยิ่งไปกว่านั้น ชายที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องไปรอบๆ ก็ดูจะพึงพาได้อย่างมาก
‘ใช่แล้ว การมีชีวิตรอดมันดีกว่าการออกไปข้างนอก’
เธอลืมส่วนที่สำคัญที่สุดไปเพราะว่าเธอตื่นตระหนกกับการที่เธอติดอยู่ในนี้
“ชิ เราไม่ได้คิดจะเป็นองค์กรการกุศล”
คาร์ฮาลเดาะลิ้นแต่ไม่ได้โต้แย้ง
ในเมื่อการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังคงเป็นความช่วยเหลืออยู่ดี
คาร์ฮาลไม่ได้แสดงมันออกไป ทว่าเขาก็ค่อนข้างกระวนกระวายกับรอยเล็บของสัตว์อสูรสามสายพันธุ์บนกำแพงเช่นกัน
‘เวรเอ้ย… ฉันหวังว่าพวกเราจะสามารถออกไปจากที่นี่ได้เร็วๆ’
ในตอนนั้นเอง
ครืนนนนน
กำแพงที่ฮันซูสัมผัสก็สั่นสะท้านและเปิดออก
ในเวลาเดียวกัน อุโมงค์ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางราวๆ 5 เมตรก็เปิดออก
มันไม่ได้เล็ก ทว่ามันเล็กเกินกว่าที่สัตว์อสูรสามสายพันธุ์จะสามารถผ่านได้
“โอ้!”
“โอ้ ว้าว!”
ทุกคนอุทานออกมาเมื่อเห็นอุโมงค์นั้น
พวกเขาไม่ได้พูดมันออกมาเสียงดัง ทว่าพวกเขาล้วนกระวนกระวายตั้งแต่ติดอยู่ในสถานที่แบบนี้
สัตว์อสูรสามสายพันธุ์จะไม่อาจผ่านอุโมงค์ขนาดนั้นไปได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้คนเมื่อพวกขเสามารถหลบหนีไปจากปัจจัยที่สร้างความกลัวให้พวกเขามากที่สุดไดเ
‘ใช่แล้ว ไปกับคนที่รู้สักสองสามอย่างมันต้องดีกว่าอยู่แล้ว… ดีกว่าการอยู่กันเองแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย’
แน่นอนว่าพวกเธอไม่รู้ว่าสามคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ แต่การที่คนพวกนั้นไม่ได้พยายามทิ้งพวกเธอเอาไว้ด้วยคำโกหกมันให้ความรู้สึกสบายใจกว่ามาก
‘ถ้าพวกเขามีแรงจูงใจซ่อนเร้นอยู่ งั้นพวกเขาก็คงจะส่งพวกเราไปด้านหน้า’
ในขณะที่ทุกคนลุกขึ้นยืนหลังจากที่จัดการบาดแผลของตนเองที่พวกเขารักษาอย่างลวกๆ เอาไว้แล้ว
ฮันซูก็เอ่ยขึ้นกับเอคิดูและคาร์ฮาล
“ไปกันเถอะ”
“เราจะตามไปด้วยได้ไหม?”
ฮันซูผงกศีรษะให้เมรีลินที่เอ่ยถามอีกครั้งเผื่อเอาไว้
ในเมื่อคนเหล่านี้ติดอยู่ในนี้เพราะเขาลากเอาสัตว์อสูรสามสายพันธุ์มาที่นี่
มันอาจจะต่างออกไปถ้าคนเหล่านั้นไม่ได้ติดอยู่กับเขา แต่ในเมื่อพวกเขาอยู่ที่นี่แล้ว มันก็ไม่มีเหตุผลให้เขาขัดขวางคนพวกนี้
“แต่ฉันรับรองความปลอดภัยของชีวิตพวกเธอให้ไม่ได้”
“แน่นอน! ฮ่าฮ่าฮ่า! มันไม่ใช่ว่าควรจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้วเหรอ!”
ราวกับว่าสิ่งที่พวกเขาสามารถพึงพาได้ได้ปรากฏขึ้นในความมืดมิด นักล่าคนหนึ่งที่กำลังกำแขนของเขาแน่นหัวเราะออกมาเสียงดัง
พวกเขาคงไม่เอ่ยขอเข้าร่วมถ้าพวกเขาไม่คิดจะให้ความร่วมมือในส่วนของพวกเขา
ไม่สิ พวกเขาคงไม่กระทั่งออกมาจากหมู่บ้านด้วยซ้ำ
“คนแบบนั้นต้องอยู่ในระดับชาวนาไปสักพัก! ฮ่าฮ่า! เราต้องเดินหน้าไปด้วยความแข็งแกร่งของเราเอง!”
“…”
ในขณะที่เมรีลินขมวดคิ้วจากคำพูดของนักล่าที่สร้างความขุ่นเคืองให้เธอในทางใดทางหนึ่ง ฮันซูก็ผงกศีรษะแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“งั้นก็ไปกันเถอะ วิ่ง”
ทันทีที่เขาเอ่ยจบ
ฟึ่บบบบ!
ฮันซูเริ่มวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
และผู้คนเริ่มจะตามเขาไปเมื่อเห็นเช่นนั้น
‘ความเร็วของเขามัน… ตามได้ เขาไม่มีสกิลประเภทเร่งความเร็วเหรอ?’
ผู้คนแสดงสีหน้าโล่งอกออกมา
ถ้าเจ้าฮันซูนั่นใช้สกิลประเภทเร่งความเร็วไปพร้อมกับร่างกายที่ราวกับสัตว์ประหลาดนั่น งั้นพวกเขาย่อมไม่สามารถกระทั่งฝันว่าจะตามหมอนั่นทัน แต่ความเร็วในการวิ่งของเขาค่อนข้างจะอยู่ในระดับที่รับได้
นักล่า เอคิดู และคาร์ฮาลใช้สกิลของพวกเขาขณะที่ตามฮันซูไป
‘ดี’
เมรีลินที่คิดว่าพวกเธอสามารถหลบหนีไปจากอันตรายใกล้ๆ ได้แล้วในตอนนี้พลันนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้
‘ดูสิ ฉันลืมไปเลย’
จากนั้นเธอจึงนำเอาหินสีดำในมือของเธอมาแล้วพันมันกับเชือกอย่างระมัดระวัง
จากนั้นเธอจึงผูกมันไว้ระหว่างลำคอกับเกราะของเธอ ตำแหน่งที่จะสามารถมองเห็นได้ง่าย
เคร้ง
หินสีดำเล็กๆ ที่หัวหน้าการ์ด อีพอน ได้มอบให้เธอได้ส่องสว่างอยู่บนลำคอของเธอ
‘แบบนี้ดีเลย’
แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าใครจะมาช่วยเธอ พวกนั้นก็น่าจะรู้ได้หลังจากที่เห็นสิ่งนี้
‘ใช่แล้ว พวกนั้นมอบข้อเสนอให้ฉันเพราะว่าฉันมีค่า… พวกนั้นไม่น่าจะปล่อยฉันไว้เฉยๆ ฉันหวังว่าฉันจะสามารถเจอคนพวกนั้นได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้’
เธอคิดว่าสถานที่แปลกประหลาดแห่งนี้อาจจะเป็นฐานหลักของคนเหล่านั้น แต่มันดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เช่นนั้น
มันเล็กกว่าก่อนหน้านี้ ทว่าอุโมงค์ที่พวกเธอกำลังวิ่งผ่านก็ยังคงใหญ่ไปหน่อย
ราวกับว่ามันไม่ใช่อุโมงค์ที่มนุษย์ใช้เดินทาง
ความมืดมิดอันสมบูรณ์แบบ
อุโมงค์ที่ทอดยาวห่างออกไปยังสถานที่ที่ไม่รู้จัก
ป่าใหญ่ที่ทุกอย่างสามารถโผล่ออกมาได้ก็เป็นปัญหาเช่นกัน ทว่าสถานที่แบบนี้ก็ยังทำให้คนต้องกลั้นหายใจ
เมรีลินที่กำลังภาวนาให้ออกจากสถานการณ์ที่ทำให้เส้นประสาทของเธอตึงเปรี้ยะให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แย้มยิ้มขณะที่เธอมองไปยังฮันซู
ชายที่สลายความกระวนกระวายของเธอไป
‘ค่อนข้างพึ่งพาได้เลยไม่ใช่รึไง ได้โปรดทำตัวดีๆ กับพวกเรา ใครจะไปรู้ล่ะ? ฉันอาจจะขอให้เจ้าผู้เฝ้ามองนั่นพานายไปกับฉันด้วยก็ได้’
เจ้าคาร์ฮาลที่อยู่ด้านหน้าเธอนั่นก็ค่อนข้างแข็งแกร่งเช่นกัน แต่มันมีคนระดับราวๆ นั้นอยู่รอบๆ ถ้าเธอพยายามหา
แต่คนที่ชื่อฮันซูนั่นพิเศษ
ด้วยความแข็งแกร่งของเขา กระทั่งกลุ่มของอีพอนก็ต้องอยากจะโน้มน้าวเขาเข้ามา
ในเมื่อพวกเขาดูจะหาคนเข้ากลุ่มและขยายความแข็งแกร่งของพวกเขาออกไป
ถ้าเธอขอ คนพวกนั้นอาจจะกระทั่งอนุญาต
‘ฉันหวังว่าพวกนั้นจะหาฉันเจอเร็วๆ’
ถ้าไม่อย่างนั้น เธอก็ต้องพยายามให้หนักกว่านี้อีกหน่อย
พยายามที่จะหาคนพวกนั้นแทน
เมรีลินหยุดคิดขณะที่เธอไล่ตามฮันซูไป
TL: กลับมาแล้ววว คิดถึงเทียร์กันไหมคะ