บทที่ 177 หนาวเย็นผิดปกติ

หลังจากเลิกคิดถึงเรื่องต่างๆแล้ว เย่เฟิงก้าวเท้าลงบันไดพร้อมกับใช้ทักษะสัมผัสวิญญาณและพบว่า เด็กหนุ่มจากวังไท่จี๋ยังไม่ตื่นขึ้นมา ขณะที่หนานฟางนั้นนอนหลับอยู่ข้างๆด้วยเสียงกรนเป็นระยะๆ

วิถีโคจรของสำนักเซียนเร้นลับที่หนานฟางได้ฝึกฝนก่อนหน้านี้นั้น เขาได้ฝึกสำเร็จแล้ว ดังนั้นด้วยพรสวรรค์ของชายหนุ่ม อาจกล่าวได้ว่าเขาคงสำเร็จทักษะเพลงดาบปีศาจคำรามได้ในอีกไม่นาน

และในเวลานี้ เย่เฟิงจะสอนทักษะย่างก้าววิญญาณเงาภูติของนิกายอสุราให้เขา จากนั้นหนานฟางจะหลายเป็นมือสังหารชั้นหนึ่ง อย่างน้อย การที่เขาอยู่ข้างเย่เฟิงก็หมายความว่าการเติบโตของเขาจะสูงยิ่งกว่าศิษย์คนใดของสำนักเซียนเร้นลับ

แต่สำหรับเรื่องของผู้ฝึกเซียนนั้น เย่เฟิงยังไม่บอกหนานฟางตอนนี้ เพราะมันคือความลับที่ใหญ่ที่สุดของเขา

เย่เฟิงเปิดประตูเข้าไปในห้อง จากนั้นจึงเดินไปยังเด็กหนุ่มสวมหน้ากากตรวจสอบเขา ไม่นานนัก ชายหนุ่มก็พบว่าเด็กหนุ่มคนนี้อายุราวๆ 18-19 ปี แต่ก็มีระดับวรยุทธ์ถึง 10 ปี ความจริงแล้วความแข็งแกร่งของเขานั้นจัดว่ายอดเยี่ยมมาก แต่น่าเสียดายที่ต้องมาเจอกับพวกหัวรุนแรงไร้เหตุผลอย่างหลี่เฟิงจนต้องพบเจอโศกนาฏกรรมที่เลวร้าย

เย่เฟิงคิดจะช่วยเด็กคนนี้ให้ไม่ต้องสวมหน้ากากอีกต่อไป เขาจึงมองดูแผลไฟไหม้ที่ร้ายแรงบนใบหน้าเด็กหนุ่ม พร้อมกับใช้แสงศักดิ์สิทธิ์ในการรักษา

แสงสีทองส่องประกายออกมาและเริ่มหอหุ้มร่างของเด็กหนุ่ม โดยก่อนหน้านี้ เขาถูกรังสีกระบี่อัสนีแทงเข้าอย่างร้ายแรง แต่ในตอนนี้ เซลล์และเนื้อเยื่อที่ตายแล้วทั่วทั้งร่ายตลอดจนที่ใบหน้า ค่อยๆฟื้นคืนสภาพอย่างรวดเร็วจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า!

10นาที, 20นาที, ครึ่งชั่วโมง……

เวลาผ่านไปเรื่อยๆจนกระทั่งเจินชี่ในร่างเย่เฟิงถูกใช้จนหมด จึงหยุดการรักษา แต่สภาพของเด็กหนุ่มได้ถูกฟื้นฟูมาเล็กน้อยและเซลล์ที่ตายแล้วบนใบหน้าได้หลุดร่อนออก หลังจากที่เด็กคนนี้ได้อาบน้ำ เขาก็ไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากต่อหน้าผู้คนอีกต่อไป

นี่ถือเป็นการตอบแทนอันเล็กน้อยที่เขาได้ช่วยชีวิตชูชูเอาไว้

สำหรับผู้ฝึกเซียนนั้น ไม่มีคำว่า “ใบหน้าเสียโฉม”อยู่ในพจนานุกรม แต่หากพูดถึงโม่จิ่วเกอนั้น แน่นอนว่ามันมีใบหน้าที่แสนอัปลักษณ์โดยธรรมชาติ และในมุมมองของเย่เฟิง ต่อให้ใช้เทคโนโลยีศัลยกรรมพลาสติกของโลกใบนี้ มันก็ไม่มีทางทำให้ใบหน้าของโม่จิ่วเกอดูดีขึ้นมาได้……..

ท้องฟ้าค่อยๆมืดลงแล้ว เย่เฟิงรู้สึกถึงระดับน้ำที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงที่ชายฝั่ง มันยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

มวลน้ำที่ได้เข้าท่วมหมู่บ้านนี้อยู่สูงถึงระดับข้อเท้า หากมันยังคงเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วระดับนี้ เมื่อถึงเช้าวันพรุ่งนี้ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าระดับจะสูงจนท่วมชั้นหนึ่งของตัวบ้าน

ในเวลานี้ ถ้าชายหนุ่มกลับไปยังใจกลางของเขตเซี่ยงซาน มันคงดูน่าสงสัยเกินไป และหากเขาถูกคนของตระกูลหลงหรือสำนักหมัดเทพทวาราเจอเข้าล่ะก็ ผลที่ตามมาก็คงย่ำแย่จนเกินกว่าจะรับได้ การพักอยู่ที่นี่ชั่วคราวจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

หลังจากพูดคุยกับหลงหวางเอ๋ออยู่ครู่หนึ่ง ชูชูก็ได้ลงบันไดมาหาอาหารในตู้เย็นเพื่อเตรียมอาหารสำหรับมื้อเย็น

เพราะในได้ท่วมชั้นล่างของบ้านแล้ว พวกเขาจึงนั่งกินอาหารกินอยู่ชั้นบน นอกจากเด็กหนุ่มที่ไร้สติ คนที่เหลือทั้งสี่ได้นั่งรวมกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร

“ผมหิวจะตายอยู่แล้วพี่ใหญ่!”

เมื่อเห็นอาหารที่เต็มอยู่บนโต๊ะ ดวงตาของหนานฟางก็สว่างขึ้นราวกับดวงวิญญาณผู้หิวโหยได้จุติใหม่

“งั้นก็กินเลย และคืนนี้ก็พักผ่อนให้สบายเถอะ”

เย่เฟิงพูดต่อไปขณะกำลังกินอาหาร “หวางเอ๋อ เย็นี้เธอช่วยเฝ้าระวังรอบๆบ้านหลังนี้หน่อยนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็รีบปรึกษากับหนานฟางทันที”

ตอนนี้หลงหวางเอ๋อมีทักษะสัมผัสวิญญาณแล้วจึงไม่มีใครสามารถลอบเข้ามาในบ้านหลังนี้ได้อีก ส่วนหนานฟางนั้นมีไหวพริบและการตัดสินใจที่ดีเยี่ยม เพราะฉะนั้นแม้ต้องเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็มักจะมีวิธีจัดการหลายทางเสมอ

“หืม แล้วนายล่ะ?”

เมื่อหลงหวางเอ๋อได้ยินดังนั้นก็พลันรู้สึกร้อนใจ “นายจะไปไหน?”

“ฉันจะไปเอาปะการังราชันย์มา”

เย่เฟิงกล่าวอย่างหนักแน่น

“อะไรนะ!”

ทั้งสามคนที่เหลือที่นั่งอยู่บนโต๊ะกินข้าวพลันรู้สึกตกใจ เย่เฟิงยังคิดจะไปแย่งชิงปะการังราชันย์อีกงั้นหรอ? ในความเห็นของพวกเขา แต่ละคนล้วนแล้วแต่พยายามหาโอกาสเพื่อออกไปจากแถบทะเลจีนตะวันออกนี้ แต่เย่เฟิงกลับทำสิ่งที่ตรงกันข้ามเสียได้

“ฉันจะไปเอาปะการังราชันย์คนเดียว พวกเธออยู่ที่นี่แหละ ฉันจะกลับมาให้เร็วที่สุดที่จะทำได้”

เย่เฟิงพูดย้ำ

“พี่ใหญ่แน่ใจหรอ?”

หนานฟางขมวดคิ้ว ถึงแม้เขาจะไม่ได้คัดค้าน แต่ก็อยากจะถามให้แน่ใจอีกครั้งหนึ่ง

“ฉันแน่ใจ”

เย่เฟิงพยักหน้า

“งั้นผมก็สบายใจ”

หนานฟางยิ้มแล้วไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก ชายหนุ่มกินอาหารของตัวเองต่อไป

บอกได้เลยว่าอาหารฝีมือชูชูนั้นยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะตอนนี้ที่ทุกคนต่างหิวโหยราวกับหมาป่า เพียงเวลาไม่นาน โต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารรสโอชาก็เกลี้ยงราวกับถูกสายลมพัดหอบไป

ถึงแม้เย่เฟิงจะไม่ต้องการเปรียบเทียบแต่ในความรู้สึกของเขา อาหารที่ชูชูทำนั้น ถ้าเทียบกับที่ซูเหมิงหานทำแล้วล่ะก็ มันยังห่างไกลที่จะเทียบกันได้……..

“ดูแลตัวเองด้วยล่ะ”

ชูชูรู้ว่าตัวเธอเองไม่สามารถที่จะพูดเกลี้ยกล่อมเย่เฟิงได้ เธอจึงเอ่ยย้ำเตือน “จำไว้นะว่าหวางเอ๋อยังรอเธออยู่ที่นี่ เพราะงั้นชีวิตเธอถือว่าสำคัญที่สุด”

หลงหวางเอ๋อได้ยินดังนั้นก็พลันหน้าแดง แต่เธอก็ยังคงเอ่ยตามชูชู “ใช่ ถ้านายไม่กลับมาล่ะก็ ฉันจะตามนายไปด้วย”

หญิงสาวต้องการจะไปกับเขาด้วย แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะรู้ว่านอกจากเย่เฟิงแล้ว เธอเป็นเพียงคนเดียวที่มีทักษะสัมผัสวิญญาณ เพราะฉะนั้นถ้าตามเขาไปด้วยก็ไม่อาจรับประกันความปลอดภัยของชูชูได้ นอกจากนี้ เย่เฟิงคงไม่มีทางยอมให้เธอไปกับเขาแน่

“สบายใจเถอะ ทำไมฉันต้องทิ้งเธอล่ะ ถ้าฉันพลาดเรื่องปะการังราชันย์ไป ก็จะรีบกลับมา”

เย่เฟิงพยายามปลอบใจหญิงสาว เพราะคำพูดของเธอเหมือนเป็นลางไม่ดี อีกอย่าง เย่เฟิงของเธอไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นเสียหน่อย

หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เย่เฟิงก็พักผ่อนอยู่ชั่วครู่ เมื่อท้องฟ้ามืดลงก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้ว!

หลงหวางเอ๋ออิงอยู่กับแขนของเขา “รีบกลับมาเร็วๆนะ”

“แน่นอน”

เย่เฟิงดึงเธอมากอดไว้เบาๆ จากนั้นก็ก้าวลงบันไดพร้อมกับสวมใส่หน้ากากสีดำที่ใบหน้า

หลงหวางเอ๋อยืนมองเขาข้างจากด้านหลัง ชูชูที่ยืนอยู่ข้างๆวางมือบนไหล่หญิงสาวและยิ้มให้อย่างอบอุ่น “ไม่ต้องห่วงหรอก ตอนนี้หลงโม่หรันทำอะไรพวกเราไม่ได้แล้ว เรื่องทุกอย่างจะจบลงในคืนนี้”

“อืมม…..”

หลงหวางเอ๋อพยักหน้า หญิงสาวซบไหล่ชูชูพร้อมกับสีหน้าที่ดูซับซ้อน ตั้งแต่นี้ต่อไป พวกเธอทั้งคู่จะไม่กลับไปตระกูลหลงอีกแล้ว

ตอนนี้อย่างน้อยเธอก็มีเย่เฟิงเป็นที่พึ่ง แต่สำหรับน้าของเธอล่ะ?

อย่างไรก็ตามเวลานี้ หนานฟางไม่ได้คิดอะไรมาก เขาแค่หาวออกมาและเอ่ยขึ้นว่า “ผมขอไปนอนก่อนนะครับ คุณหนูหลง ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นล่ะก็เรียกใช้ได้เสมอ”

“ชิ สุกรกินเสร็จแล้วก็นอน ไปเลย”

หลงหวางเอ๋อไล่เขาไป “ตอนนี้ฉันไม่ใช่คุณหนูหลงผู้ร่ำรวยในตระกูลใหญ่โตอีกแล้ว”

“ครับผม งั้นไปแล้วนะครับคุณน้า”

หนานฟางพูดจบก็โบกมือให้สองสาวแล้วเดินกลับห้องตัวเอง

ถึงแม้หนานฟางจะดูไม่สนใจใยดีไปหน่อย แต่ความคิดบวกของเขาก็ทำให้หญิงสาวทั้งสองรู้สึกดีขึ้น ทั้งเธอทั้งคู่จับมือกันพร้อมกับตั้งอธิษฐานจิตเพื่อขอให้เย่เฟิงกลับมาอย่างปลอดภัย

ขณะที่อีกด้านหนึ่ง เย่เฟิงที่สวมหน้ากากไว้ก้าวลงบันไดมาและทันทีที่เขาก้าวเท้าลงไปในน้ำที่สูงถึงระดับข้อเท้า ความรู้สึกที่เย็นไปถึงกระดูกก็เข้าจู่โจมทันที

หัวใจชายหนุ่มสั่นไหวเล็กน้อย

ในช่วงเช้าที่พวกเขากระโดดลงไปในทะเลจากหน้าผา เย่เฟิงรู้สึกว่าน้ำทะเลค่อยๆหนาวเย็นขึ้นอย่างช้าๆ แต่ตอนนี้มันชัดเจนเกินไปจนผิดปกติ อย่างน้อยในความทรงของเขา ในยุคสมัยนี้ยังไม่เคยมีเหตุการณ์ที่น่าประหลาดเช่นนี้

“หรือมันจะเกี่ยวข้องกับอาจารย์?”

เย่เฟิงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องนี้ บางสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์นั้นล้วนเกิดขึ้นทั่วไปในโลกเทวะ

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ซูเฟยหยิ่งจะมีวรยุทธ์ถึงระดับ 100 ปี แต่ก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะสร้างความหนาวเย็นให้กระจายออกได้กว้างขนาดนี้…….

เย่เฟิงส่ายหัวเพื่อไล่ความคิดนี้ออกไป ชายหนุ่มคิดว่าไม่ว่าเรื่องทั้งหมดจะเป็นอย่างไร สิ่งเดียวที่ต้องสนใจในตอนนี้คือการคว้าปะการังราชันย์มาให้ได้! แต่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีผู้คนเข้าร่วมมากมายเท่าไหร่ในคืนนี้

……………………..

แปลโดย Solar Spark