บทที่ 17: แท่นบูชา (2)

 

 

‘ฉันแตกต่างจากเจ้าแทซูนนั่น’

ซังจินคิดในใจ

แทซูนต้องเผชิญหน้ากับชะตากรรมที่โหดร้ายเพราะตั้งตัวเป็นศัตรูกับฮันซูด้วยอีโก้โง่ๆ ของเขา แต่เขาไม่มีแผนที่จะเป็นศัตรูกับฮันซู

‘แน่นอน… ว่าไม่อยากเป็นศัตรู’

ซังจินกลืนน้ำลายเมื่อคิดถึงการกระทำของอีกฝ่ายต่อแทซูนและอันธพาลคนอื่นๆ ในคืนนั้น

กลับกัน เขาต้องการที่จะสนิทกับฮันซูให้มากๆ

ทำไมเขาต้องเป็นศัตรูกับเพื่อนที่มีประโยชน์ที่ทรงพลังอย่างเขาด้วยล่ะ?

‘ฉันเติบโตมาขนาดนี้แล้วนะ ฉันเป็นยังไงบ้าง?’

ซังจินมีความสุขกับภาพลักษณ์ในปัจจุบันของเขามาก

สถานการณ์ที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากยามที่เขาถูกจูงจมูกไปรอบๆ โดยไม่อาจทำอะไรได้ใต้เงื้อมมือของแทซูน

เพื่อนของเขาที่มักจะมองไปยังแทซูนตอนนี้ได้มองมายังเขา และทุกคนที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ กระทั่งผู้ที่แก่กว่าเขาก็ยังให้ความสนใจกับเขา

และกระทั่งซุนมิ ที่เขารู้สึกดีด้วยมาตลอด ก็ยังมองเขาด้วยสีหน้าประหลาด

เขาพยายามที่จะไม่แสดงมันออก ทว่าเขารับรู้ได้ถึงทุกสายตาที่จับจ้องมายังเขา

‘โลกนี้กำลังจะดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว’

ตราบเท่าที่คุณแข็งแกร่ง คุณจะสามารถยืนอยู่ในจุดศูนย์กลางของโลกนี้ได้

เหมือนกับตัวละครหลักในโลกแฟนตาซี

‘ฮันซู ด้วยพลังของนาย นายอาจปล่อยคนเช่นมิฮีไปได้’

มันอาจเรียกได้ว่าเป็นเซเลบในโลกใบนี้

หากคุณแข็งแกร่งขึ้น คุณก็สามารถได้ผู้หญิงที่สวยกว่ามิฮีได้

หากฮันซูอยู่กับเขา มันก็จะง่ายยิ่งขึ้น

ซังจินมองไปยังฮันซูด้วยสีหน้ากระวนกระวาย

คำแนะนำนี้คือสิ่งที่สมบูรณ์แบบในความคิด

และหากทุกสิ่งเป็นไปตามแผนของเขา ฮันซูอาจจะยอมตกลง

เมื่อฮันซูที่เขารู้จักนั้นคือชายที่ต้องการผลลัพธ์โดยไม่ถูกสั่นคลอนด้วยความสงสารและอารมณ์ใดๆ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮันซูก็เอ่ยขึ้นหลังจากคิดอยู่ชั่วครู่

“ฉันแนะนำได้ไหม? ถ้าพวกนายทำตามคำแนะนำของฉัน พวกนายก็จะมีชีวิตอยู่ทุกคน โดยไม่ต้องเสียสละอะไร”

“…นายพูดอะไร?”

ทุกคนมีสีหน้าว่างเปล่าเมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่มที่ฟังราวคำพูดหาเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง

แต่คนคนหนึ่งได้รีบตะโกนขึ้นอย่างเร่งรีบ

“นี่นายจะบอกว่าให้เรารวมพลังกันสู้กับไอ้สิ่งนั้นเหรอ!? มันเกินไปนะ!”

ทุกคนผงกศีรษะ

มันไม่ใช่ว่าดาบไม่สามารถฟันเข้าสิ่งนั้นได้

เมื่อในตอนแรกเริ่มของภาพเหตุการณ์นั้น คน 70 คนได้ยันมันถอยไปได้เล็กน้อย

แต่ปัญหาคือหลังจากนั้น

สิ่งนั้นจะฟื้นฟูขึ้นหลังจากที่มันกินคนมากขึ้นเรื่อยๆ

แม้ว่าคุณจะสามารถยันมันได้ด้วยจำนวน สัตว์อสูรกลับไม่มีความเหนื่อยล้า ในขณะที่ผู้คนถูกเคี้ยวกลืนทีล่ะคน

ฮันซูส่ายศีรษะ

“มีใครบอกให้พวกนายสู้รึไง? พวกนายก็แค่จะเข้ามาขวางทางเท่านั้นแหละ”

“… เวรเอ้ย! งั้นนายต้องการจะให้เราทำอะไร!? นายจะสู้กับมันคนเดียวรึไง?”

คนคนหนึ่งตะโกนขึ้นอย่างโมโห แต่ฮันซูผงกศีรษะ

“นั่นแหละ”

ทุกคนนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น

‘นี่นายแข็งแกร่งเพียงพอที่จะสู้กับไอ้สิ่งนั้นแล้วเหรอ?’

ซังจินกัดฟันอยู่เงียบๆ

เขาไม่มีความมั่นใจใดๆ ในการสู้กับสัตว์ประหลาดนั่น

แม้ว่าทุกคนจะรวมพลังกันก็ตาม

แต่หมอนั่นกำลังพูดว่าเขาจะจัดการสิ่งนั้นด้วยตัวคนเดียว

‘เวรเอ้ย… เวรเอ้ย…’

ในขณะที่ในใจเขามีความรู้สึกซับซ้อนที่ได้ถูกหลบซ่อนไว้ด้วยท่าทีมั่นใจของเขา เริ่มที่จะเพิ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อฮันซุพูดขึ้นอีก

“ฉันจะสู้กับมัน แต่ตอนนี้มันคงยากไป”

ในขณะที่ทุกคนผิดหวังกับคำพูดของชายหนุ่ม ซังจินก็รู้สึกดีขึ้น

‘ใช่ แม้ว่าจะเป็นนายแต่มันก็คงเกินไป’

หากฮันซูขอความช่วยเหลือจากเขา เขาก็ต้องการที่จะช่วย

แน่นอนว่ามันคงไม่ฟรี

ซังจินเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ามีความสุข

“งั้นนายจะบอกว่าจะสู้ด้วยยอดฝีมือจำนวนน้อยงั้นเหรอ?”

จากนั้นฮันซูจึงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าราวกับจะถามว่านายหมายความว่ายังไง

“ฉันบอกว่านายจะเข้ามาขวางทาง”

มันอาจแตกต่างออกไปในสถานการณ์ปกติ แต่คู่ต่อสู้แบบนี้มันไม่ใช่

พวกเขาจะกลายเป็นยาฟื้นพลังของสัตว์ประหลาด

กรอดดด

ซังจินกัดฟันอยู่ภายใน

ดูเหมือนว่าเขาจะยังคงไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นหนึ่งในทีมล่า

‘ใช่ มันอาจเป็นเพราะฉันยังคงขาดคุณสมบัติอยู่’

เมื่อเขาเพิ่งเริ่มได้ในไม่นาน

แต่เมื่อเขาล่าอย่างขยัน เขาจะสามารถตามทันได้ในเวลาไม่นาน

ซังจินผ่อนคลายความโกรธลงและเอ่ยถามอีกครั้ง

“งั้นนายจะทำยังไง?”

ฮันซูเอ่ยตอบ

“ง่ายๆ ถ้าพลังกายและค่าความอดทนของฉันเพิ่มขึ้นอีก 30 จากตอนนี้ ฉันสู้กับมันคนเดียวได้”

30 แต้มของพลังกายและค่าความอดทน

มันค่อนข้างรับมือยากในตอนนี้ แต่หากเขาเพิ่มพลังกายและค่าความอดทนอีก 30 และใช้บุหรี่เมฆา เขาก็จะสามารถสู้กับมันหนึ่งต่อหนึ่งได้

พลังกายและค่าความอดทนที่ 100 ความเข้าใจและความคล่องแคล่วที่ประมาณ 50

มันเป็นจำนวนขั้นต่ำที่ชายหนุ่มกำหนด

หากพลังกายต่ำกว่านั้น มันก็ยากที่จะแทงทะลุเกราะ และหากขาดค่าความอดทน คุณก็จะไม่สามารถทนได้จนกว่ามันจะตาย

ความคล่องแคล่วและความเข้าใจนั้นต้องอยู่ที่ราวๆ นั้นเพื่อที่จะหลบการโจมตีของมัน

เมื่อมันเป็นค่าประมาณที่ออกมาจากประสบการณ์การต่อสู้ที่ยาวนาน มันจึงไม่มีทางผิดพลาด

จำนวนที่นำบุหรี่เมฆาเข้าไปรวมด้วย

หากเป็นคนอื่น มันก็อาจไม่เข้าใกล้คำว่าพอ แต่หากเป็นเขา มันเป็นไปได้

และก็มีคนที่เคยทำเช่นนี้สำเร็จแล้ว

‘กวางกุนจู’

ในความจริงนั้น คนเพียงคนเดียวที่รับรู้ถึงมันคือกวางกุนจู

และเขาคงไม่รู้ถึงชิ้นส่วนลับนี้หากกวางกุนจูไม่ได้บอกมันถึงมันอย่างกลั่นแกล้ง

‘เอาเถอะ ลักษณะพิเศษของเขามันเหมาะสมกับเรื่องแบบนี้’

แต่กระทั่งกวานกุนจูคนนี้ยังเอาชนะเจ้าสิ่งนี้ได้อย่างฉิวเฉียดในสภาพที่กลายเป็นศพไปแล้วครึ่งหนึ่ง

มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ถูกฆ่า

มันแค่ต้องการให้พวกเขาสู้กันเองและส่งเครื่องสังเวย

และมันเป็นสาเหตุให้มีชิ้นส่วนลับ ไม่มีใครคิดถึงการฆ่ามัน และมันมีเหตุผลที่ทำให้มันถูกซ่อนไว้

กระทั่งเขายังต้องใช้เวลาสองสามวันในการเข้าถึงจุดนั้น

แต่นั่นหมายความว่า ในเวลาสองสามวัน คน10-15 คนต้องเสียสละเพื่อซื้อเวลา

แต่หากทุกคนรวบรวมรูนและช่วยเขาเติมเต็มค่าที่ขาด เขามีความมั่นใจในการกระโดดเข้าไปในแท่นบูชาที่มีสัตว์อสูรท่าทางโง่เง่านั่นอยู่ข้างใน

“งั้นฉันมีข้อเสนอ ถ้าพวกนายช่วยฉันเพิ่มค่าสถานะ ฉันจะรับผิดชอบในการฆ่าเจ้าสิ่งนั้นเอง”

‘และถ้าฉันทำแบบนั้น ข้อกำหนดในการได้รับชิ้นส่วนลับที่สองจะสำเร็จ’

ในขณะที่ฮันซูกำลังครุ่นคิดนั้น ใครบางคนเอ่ยถาม

“คน 15 คนที่จะถูกเลือกในการเป็นเครื่องสังเวยต้องให้รูนนั่นหรือเปล่า? 60รูน?”

ฮันซูส่ายศีรษะ

“ไม่ล่ะ ฉันไม่สนใจว่าใครจะให้ฉัน ตราบเท่าที่จำนวนเพียงพอ ฉันก็จะเข้าไปในนั้นทันที”

ทุกคนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น

มันเป็นเวลา 4 วันแล้วนับตั้งแต่ที่พวกเขามายังที่นี่

ทุกคนรู้สึกได้ถึงความมีประโยชน์ของรูน แต่รูนที่แต่ล่ะคนต้องการนั้นแตกต่างกันเล็กน้อย

คนที่อ่อนแอกว่าต้องการรูนพลังกายหรือรูนความอดทน และผู้ที่แข็งแกร่งต้องการรูนความเข้าใจและความคล่องแคล่ว

และภายใต้สมดุลที่แปลกประหลาดนี้ รูนได้ถูกใช้เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนในบางทาง

รูนความเข้าใจหรือรูนความคล่องแคล่วอันหนึ่งสามารถแลกกับรูนพลังกายและรูนค่าความอดทนได้สองอัน

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เก็บรูนไว้ที่ข้อมือ

คนที่อ่อนแอจำเป็นต้องหลอมรวมรูนทุกอันที่พวกเขาได้เพียงเพื่อเพิ่มค่าพลังกายของพวกเขาเพียงเล็กน้อย

ดังนั้นคนอ่อนแอที่จะถูกเลือกให้เป็นเครื่องสังเวยจึงไม่มีรูนให้เก็บ

แต่คนที่แข็งแกร่งกว่ามีรูนให้เก็บ ดังนั้นพวกเขาจึงมีอยู่เล็กน้อย

เมื่อพวกเขาสามารถสู้ไปได้ทั้งที่ยังเก็บรูนไว้โดยไม่ใช้

แต่กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งกว่ายังไม่ได้เก็บพวกมันไว้จำนวนมาก

เพื่อที่จะเติมเต็มข้อกำหนดของฮันซู พวกเขาต้องสละรูนที่เก็บไว้จนหมด

ทุกคนมีสีหน้าไม่เต็มใจ

มันไม่ดีที่จะไม่ให้รูน

เพราะหากพวกเขาไม่ให้รูนนั่นก็หมายความว่าพวกเขาต้องการเสียสละคนอ่อนแอ 15 คน

แต่มันไม่ดีที่จะให้รูนไปเหมือนกัน

หากคนที่ถูกเลือกให้เสียสละให้รูน งั้นมันก็โอเค แต่สถานการณ์มันไม่ชัดเจนแบบนั้น

คนที่อ่อนแอพอที่จะเป็นเครื่องสังเวลไม่มีรูน แต่มันกลับไม่มีเวลาให้คนอ่อนแอเหล่านี้ไปล่าเพื่อรวบรวมรูนเช่นกัน

ขีดจำกัดคือหนึ่งชั่วโมง และเสียงของแท่นบูชาที่ถูกทำลายก็ได้ดังขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนี้

ซึ่งหมายความว่าคนที่มีรูนเก็บสำรอง ผู้ที่ไม่ต้องเสียสละตามคำแนะนำของซังจิน ต้องจ่ายรูนแทน

และจากนั้นเหล่าคนที่อ่อนแอก็ได้ตะโกนขึ้นเสียงดัง

คนที่ถูกเลือกเป็นเครื่องสังเวยชุดแรกเพราะเขาอ่อนแอด้วยความเกลียดการต่อสู้

“ฉิบหายเอ้ย! ใครก็ดีรวบรวมรูนแล้วส่งให้เขาที! เวรเอ้ย! หรือไม่ก็จับฉลากชื่อ!”

น้ำเสียงขึ้นจมูกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากอีกด้านเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“เป็นไอ้บัดซบที่เห็นแก่ตัวอะไรแบบนี้”

“นายพูดว่าอะไรนะ?”

ชายคนนั้นตวัดสายตาไปมองยังมุมหนึ่งอย่างรวดเร็ว

แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ผงะไปกับดวงตาคมกริบนั้นและเอ่ยพูด

แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ชาย แต่ผู้ชายที่มีดีเพียงแค่ความสู้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ

เธอมั่นใจว่าเธอจะอยู่ในลำดับสูงเมื่อพวกเขาเริ่มเลือก

เมื่อเธอพยายามอย่างหนักขึ้นเพราะเธอเป็นผู้หญิง และมีจุดเริ่มต้นที่ไม่ยุติธรรม

“มันไม่ชัดเจนเหรอ? ทำไมฉันต้องให้รูนเพราะนาย? มันจะมีความแตกต่างมากมายอะไรกับรูนสองสามอัน? และคนแบบนายที่ตายได้ตลอดเวลา ทำไมฉันต้องเชื่อแล้วเอามันให้เขาด้วย”

“อึกก…”

ชายคนนั้นไม่อาจเอ่ยโต้แย้งได้

เหตุผลที่เขาอ่อนแอนั้นเป็นเพราะเขากลัวที่จะสู้ และมักจะหลบอยู่ด้านหลังเสมอ

รูน 4 อันหมายถึงก๊อบลิน 40 ตัว

เขาไม่มีความมั่นใจที่จะล่ามากขนาดนั้น

ถ้าเขาต้องจ่ายรูนคืน เขาไม่รู้ว่าเขาต้องใช้ระยะเวลานานเท่าไหร่

“แล้วนายหมายความว่ายังไงกับการจับฉลาก นายอาจถูกโยนเข้าไปพร้อมกับอาการแขนขาหักได้ เพราะงั้นอย่าออกตัวให้มันมากนัก”

“ฉิบหายเอ้ย…”

ชายคนนั้นกัดฟันกรอด แต่เขาทำได้เพียงแค่ตัวสั่นเมื่อง้าวสั้นในมือของอีกฝ่ายนั้นน่าหวาดกลัวจนเกินไป

แต่การยอมถอยในตอนนี้ย่อมหมายถึงการถูกส่งเข้าไปในแท่นบูชา

ดังนั้นเขาจึงตะโกนขึ้นอีกครั้ง

“แต่พวกนายกำลังบอกว่าให้คนที่อ่อนแอกว่าควรจะตายๆ ไป? ไร้สาระอะไรแบบนี้! เวรเอ้ย! พวกนายไม่ได้เกิดในสังคมประชาธิปไตยรึไง?”

และผู้หญิงที่เอ่ยขึ้นก่อนหน้าก็ได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ดี งั้นมาโหวตเสียงข้างมากกัน”

“อะไรนะ?”

“กฎของเสียงส่วนมาก เราจะโหวตกัน ระหว่างผู้ที่ต้องการหยุดมันด้วยการให้รูน และด้านที่ต้องการส่งเครื่องสังเวย แน่นอนว่ามันจะเป็นการโหวตแบบลับๆ เหมือนประชาธิปไตยที่นายชอบมากนั่น”

“อั่ก…”

“ทำแบบนี้ฉันไว้หน้านายมากแล้ว ความจริงแล้วพวกนายจะทำอะไรได้ถ้าหากฉันหักแขนขาของพวกนายและโยนพวกนายห้าคนเข้าไปในนั้น?”

คนส่วนมากผงกศีรษะให้กับคำพูดนั้น

พวกเขาไม่อาจเอ่ยพูดออกไปดังๆ ได้เพราะจิตใต้สำนึก แต่การผงกศีรษะนั้นก็หมายถึงการเห็นด้วย

“อ่า…”

ชายคนนั้นมีสีหน้าหดหู่เมื่อได้ยินเช่นนั้น

เมื่อผลลัพธ์นั้นชัดเจนหากพวกเขาต้องการใช้กฎของเสียงข้างมาก

ลำดับของคนอ่อนแออาจไม่ชัดเจนนัก แต่ก็สามารถคาดเดาได้

ราวๆ 20 คนจะรู้ว่าพวกเขาอ่อนแอและต่อต้านมัน แต่ที่เหลืออีก 40 คนจะเห็นด้วย

และเมื่อมันเป็นการโหวตแบบลับๆ มันจะไม่มีสถานการณ์ที่จิตใต้สำนึกของพวกเขาจะหยุดยั้งพวกเขาไว้

ชายคนนั้นรีบมองไปยังฮันซูและตะโกนอย่างลนลาน

“นาย! นายแค่เอารูนจากพวกนั้นมาเลยไม่ได้เหรอ?”

ฮันซูส่ายศีรษะ

เขาไม่ขโมยรูน เมื่อมันเป็นผลงานของความพยายามอย่างหนักของคนคนนั้น

นี่คือหนึ่งในกฎแห่งความสามัคคี

เพราะมันเหมือนกับการเอาเงินเดือนของใครบางคนจากถนนเพราะคุณมีความแข็งแกร่ง

“ถ้าไม่… งั้นทำไมนายไม่ฆ่าคนสักสองสามคนแล้วเอารูนพวกนั้นไปล่ะ! ถ้านายฆ่าคนสักห้าหรือสิบคน งั้นรูนจำนวนที่นายต้องการก็อาจออกมา!”

ฮันซูผงกศีรษะให้คำพูดนั้น

การฆ่าคนที่แข็งแกร่งกว่าจะให้รูนมากกว่าคนอ่อนแอ

สำหรับคนอ่อนแอนั้น เขาต้องฆ่าราวๆ 15 คนหรือมากกว่านั้น แต่ต้องใช้คนแข็งแกร่งเพียงแค่ 10 คนหรือน้อยกว่านั้นเพื่อที่จะเติมเต็มรูน 60 อันที่เขาต้องการ

“อืม นั่นก็ถูก”

จากนั้นชายคนนั้นจึงตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงคาดหวัง

“งั้นทำไมนายไม่ฆ่าพวกนั้นแล้วสู้ด้วยรูนที่ดรอปออกมาล่ะ? มันดีกว่าให้คน10หรือ15คนตะ… อ๊ากกกก!”

“ไอ้เวรฉิบหายนี่!”

หนึ่งในผู้ที่กำลังฟังอยู่นั้นระเบิดออกและได้เตะชายที่กำลังพูดอยู่

คนคนนั้นย่อมเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดสิบคน

เขารู้สึกกระวนกระวายเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาจึงกระโจนออกไป

เขาเห็นอย่างชัดเจนถึงการต่อสู้ของฮันซูในวันแรก

หากชายหนุ่มต้องการบั่นหัวของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดลงไป กลืนกินรูนเหล่านั้นและเข้าไปในแท่นบูชา จะไม่มีใครหยุดเขาได้

พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นมากเช่นกัน แต่ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่สามารถเทียบเท่าได้เพียงเพราะจำนวนรูน

พวกเขาแตกต่างกันตั้งแต่ต้นแล้ว

หมูที่มีกล้ามเนื้อและความเร็วมากขึ้นเล็กน้อยไม่อาจสู้กับเสือที่ขนาดตัวพอๆ กันได้

และเสือนั่นอาจจะตัวใหญ่ขึ้นและรวดเร็วขึ้นมาก เมื่อมันได้กลืนกินรูนจำนวนมากนับตั้งแต่นั้น

หากฮันซูตัดสินใจที่จะใช้วิธีการที่นับแบบ <ใช่ ฆ่า 10 ดีกว่า 15 > งั้นพวกเขาทั้งหมดก็จะตาย

เขาฟังอยู่เงียบๆ เพราะการพูดคุยนั้นดูเหมือนจะโน้มเอียงไปทางผู้หญิงมากกว่า แต่หากมันกลายเป็นแบบนี้เขาก็จะตาย

และเมื่อเขามองไปรอบๆ เขาก็รู้สึกได้ว่าทุกคนกำลังพึมพำอยู่

และจากนั้นทุกคนจึงเริ่มตะโกนขึ้น

“เวรเอ้ย! แค่โยนพวกอ่อนแอสิบห้าคนลงไป!”

“นายกำลังบอกให้พวกเราไปตายเหรอ! มันดีกว่าที่จะให้คนที่แข็งแกร่งที่สุด 10 คนตาย!”

“พูดจาไร้สาระ! งั้นแค่ฆ่าคนที่อยู่ตรงกลางแล้วเอารูนของพวกนั้นมา! เราจะเป็นความช่วยเหลือได้เมื่อเราออกจากที่นี่! มันคงไม่ถึงสิบห้าคนหรอกถ้าฆ่าคนที่อยู่ตรงกลาง!”

ฮันซูถอนหายใจเมื่อเขาเห็นความวุ่นวายนั้น

แต่เขารู้ว่ามันจะเกิดขึ้น

ดวงจันทร์ แท่นบูชา

มันไม่มีเวลาให้เคยชินเพราะสภาพแวดล้อมได้เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ

และเมื่อพวกเขาไม่คุ้นเคย พวกเขาจึงไม่อาจถอยหลังได้แม้แต่ก้าวเดียว

มันอาจแตกต่างออกไปถ้าพวกเขารู้ถึงที่ว่างเบื้องหลัง แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาย่อมไม่เห็นด้านหลังของพวกเขา พวกเขาอาจตกลงจากหน้าผาและตายได้หากพวกเขาถอยหลังแม้เพียงก้าว

‘ฉันต้องควบคุมการจราจรสักหน่อย’

ฮันซูที่คาดหวังว่ามันจะถูกจัดการได้ด้วยการควบคุมตนเองเอ่ยขึ้น

“เงียบหน่อย”

ทุกคนยืนตรงและมองไปยังริมฝีปากของฮันซูเมื่อได้ยินเช่นนั้น

 


TL: นี่ฝึกทหารถูกไหมฮันซู

 

ติดตามข่าวสารที่รวดเร็วกว่าได้ทาง Facebook: Netear.ST นะคะ