บทที่ 16: แท่นบูชา (1)
ตูมมมม
คลื่นกระแทกทรงพลังได้พุ่งออกมาจากปากของมิฮี
พลั่กก
นกกินเนื้อที่มุ่งตรงไปยังหญิงสาวได้ร่วงลงไปหลังจากถูกกระแทกด้วยคลื่นนั้น
ในตอนนั้นเองที่เข็มในมือขวาของฮันซูและคาตานะในมือซ้ายได้แทงฝ่าอากาศไปอย่างรวดเร็ว
ฉัวะฉัวะฉัวะ
ดาบของก๊อบลินยอดฝีมือได้ดรอปลงมาระหว่างการล่า
ความแข็งของมันอาจเทียบกับเข็มไม่ได้ ทว่ามันมีความสมดุลที่ดีและคม ดังนั้นแล้วเขาจึงใช้มันเป็นอาวุธรอง
เมื่อตราบเท่าที่คุณฟันมันลงไป อาวุธที่คุณสามารถเหวี่ยงไปมาได้ย่อมสะดวกสบายกว่าอาวุธที่ใช้แทง
‘เวรเอ้ย’
มิฮีกัดฟันกรอด
ขณะที่เธอได้เปิดช่องว่างเพียงชั่วครู่ นกก็ไปบินมาทางเธอ
แต่ว่าเหตุผลที่เธอกัดฟันนั้นไม่ใช่เพราะอันตรายที่ใกล้เข้ามา
ฉัวะ
มิฮีตบปากของตัวเองหลังจากที่เห็นคาตานะตัดผ่าร่างของนกกินเนื้อในครั้งเดียว
“ฉันได้รับความช่วยเหลืออีกแล้ว”
เธอพยายามทำคนเดียว แต่ว่ากลับต้องรับความช่วยเหลืออีกครั้ง
ฮันซูมองไปยังหญิงสาวก่อนจะเอ่ยว่า
“มันมีความแตกต่างระหว่างไม่พึ่งพาฉันกับทำทุกอย่างด้วยตัวเอง มันชัดเจนว่าเธอต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นขณะที่เธอใช้สกิลที่ทำให้ร่างกายต้องหยุดไปชั่วขณะ เธอต้องเข้าใจถึงประโยชน์และข้อเสียของสกิลเธอเป็นอย่างดี”
ฮันซูเดินไปแยกรูนบนพื้น
อย่างแม่นยำสุดๆ เช่นเคย
‘มันสองวันแล้วใช่ไหม’
มันเป็นเวลาสองวันแล้วตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น
มันเกือบจะครบ 4 วันแล้วในตอนนี้
และในระหว่างนั้น ฮันซูได้ล่าตามใจโดยไม่หยุดยั้ง
มิฮีตรวจสอบค่าสถานะของเธอขณะที่เก็บรูน
[จินมิฮี]
พลังกาย: 27.4
ความอดทน: 28.8
ความคล่องแคล่ว: 18.1
ความเข้าใจ: 21.2
มานา: 18
<สกิล>
Barb Snake’s Shockwave: 2.4%
Rotating Ring: 2.1%
Rotating Ring นั่นเป็นสกิลที่พวกเขาได้รับระหว่างการล่าที่หญิงสาวได้ซื้อจากฮันซู
< Rotating Ring > จะเพิ่มอัตราการฟื้นฟูของมานาและพลังชีวิต มันไม่ได้ปรากฏอย่างชัดเจน แต่มันอาจปรากฏขึ้นเมื่อคนคนนั้นมองไปที่ผลลัพธ์ของมันหลังจากต่อสู้มาทั้งวัน มันมีความแตกต่างอย่างชัดเจน
ด้วยเพียงเท่านี้อาจไม่เรียกได้ว่าขาดเหลือเมื่อในโลกแห่งความเป็นจริงมันอาจเรียกได้ว่าอยู่ระดับของยอดมนุษย์แล้ว
เธอสามารถจัดการคนที่มีปืนได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเธอสามารถเห็นได้ว่ากระสุนจะถูกยิงออกไปในทิศทางใดโดยการมองไปยังไกปืนและหลบมันทั้งหมด
ไม่สิ หากเธอเริ่มต่อสู้ในเมือง มันอาจเป็นมากกว่านั้น
ฮันซูที่เห็นว่าหญิงสาวทำเช่นนั้นก็เริ่มตรวจสอบค่าสถานะของตนเอง
[คังฮันซู]
พลังกาย: 54.3
ความอดทน: 55.8
ความคล่องแคล่ว: 42.1
ความเข้าใจ: 42.2
มานา: 22
ค่าต่อต้านเวทมนต์: 13
‘ดี’
ชายหนุ่มที่เพิ่มค่าความคล่องแคล่วและความเข้าใจของเขาขึ้นผงกศีรษะ
คุณไม่อาจเทียบสถานะเป็นคู่ได้ ทว่าพลังกายและค่าความอดทนกับค่าความคล่องแคล่วและความเข้าใจนั้นมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกัน
หากไม่มีค่าความอดทนเพียงพอ ไม่ว่าจะมีพลังกายมากเท่าใดก็จะไม่สามารถใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ว่าจะค่าความอดทนมากเท่าใด หากพลังกายต่ำมันก็เป็นเพียงแค่พรสวรรค์ที่ไร้ค่า
หากคนผู้หนึ่งต้องการเคลื่อนไหวได้รวดเร็วขึ้นอย่างเหมาะสมจากค่าความคล่องแคล่ว พวกเขาก็ต้องการค่าความเข้าใจสูง และมันไม่สำคัญว่าค่าความเข้าใจของคุณจะสูงเท่าใดหากร่างกายของคุณไม่ทำตาม
ทางออกที่ดีที่สุดคือการทำให้ค่าสถานะทุกอย่างอยู่ในระดับเดียวกัน
เพราะเขามีมิฮีที่ค่อนข้างขาดในพลังกายและค่าความอดทน ดังนั้นเขาจึงได้เพิ่งค่าความคล่องแคล่วและค่าความเข้าใจจากการแลกเปลี่ยนรูนกับหญิงสาว
ในตอนนั้นเองที่เสียงเล็กๆ ดังขึ้นในใบหูของฮันซูและมิฮี
<อ่า อ่า ทุกคน? ได้ยินฉันไหม? โปรดรวมตัวกันที่จุดเริ่มต้นในตอนนี้ด้วย>
มิฮีขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนั้น
‘แฟรี่…’
ฮันซูเอ่ยขณะที่มองไปยังหญิงสาว
“กลับกันเถอะ”
มิฮีผงกศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น
แต่จากนั้นเธอก็หยุดหมุนตัวก่อนจะเอ่ยถามอีกฝ่าย
“นายอาจจะมีแฟนแล้ว? อ่า… นายจำได้รึเปล่าเถอะ”
มิฮีเริ่มชอบชายหนุ่มขึ้นไม่น้อยในตอนนี้
มันน่ากลัวในตอนแรก
เมื่อเธอรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ข้ามเส้นนั้นไป
แต่หลังจากเฝ้ามองอีกฝ่ายอยู่สามวัน เธอก็ตระหนักได้ว่าการข้ามเส้นนั้นค่อนข้างทำได้ยาก
เมื่อมันเหมือนกับผู้ใหญ่ที่คอยดูแลเด็กๆ มันเลยค่อนข้างสบาย
‘เขาเกือบจะเหมือนคนแก่…’
และเธอก็รู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อคิดได้เช่นนั้น
เพราะเขานั้นเหมือนคนที่สามารถรับมือเธอได้ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ตาม
‘หืม’
ฮันซูแสยะยิ้มให้กับคำพูดใสซื่อน่ารักนั่น
‘ตอนนี้พอฉันคิดถึงมัน ถ้าคังเต้นั่นได้กลับมา เขาอาจจะมีความสุขอย่างมากที่ได้รับคำสารภาพรัก’
บางทีถ้าหมอนั่นกลับมา เขาอาจจะสร้างอาณาจักรฮาเร็มขึ้นก็ได้
แต่ฮันซูส่ายศีรษะ
‘ฉันเสียใครไปไม่ได้อีกแล้ว’
เขามีเส้นทางที่ยาวไกลเกินกว่าที่จะทำแบบนั้น
ชายหนุ่มจัดการความคิดของเขาก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงหัวเราะเล็กๆ
“ฉันจำไม่ได้หรอก”
ฮันซูเดินไปยังสถานีกังนัมที่พวกเขาพบกันครั้งแรก หญิงสาวรีบเดินตามอีกฝ่ายไปในเวลาไม่นานหลังจากจับจ้องเขาอยู่ชั่วครู่
สถานที่ที่พวกเขาเริ่มต้นได้เต็มไปด้วยผู้คนแล้ว
แต่เพราะฮันซูได้บอกพวกเขาถึงวิธีการกินเนื้อก๊อบลิน มันดูเหมือนว่าการต่อสู้ภายในเรื่องอาหารจึงไม่เกิดขึ้น
หากไม่เป็นเช่นนั้นจำนวนของพวกเขาคงน้อยกว่านี้มาก
และยังมีใบหน้าที่คุ้นเคยอยู่ในบรรดาผู้ที่มีชีวิตอยู่
‘พวกเขายังมีชีวิตอยู่!’
มิฮีที่ค่อนข้างกังวลเนื่องจากยังไม่เห็นเพื่อนของตนเพราะเธอต้องตามฮันซูไปจนรู้สึกค่อนข้างเครียดได้ผ่อนคลายลงหลังจากเห็นว่าทุกคนมีชีวิตอยู่จากไกลๆ
‘แต่สถานการณ์ค่อนข้างแปลก’
ในขณะที่หญิงสาวกำลังขมวดคิ้วจากบรรยากาศตึงเครียดแปลกๆ นั้น อากาศพลันแยกออก
ใบหน้าคุ้นเคยปรากฏขึ้นพร้อมกับตะโกนอย่างกระตือรือร้น
“สวัสดี! ทุกคน! ฉันมาวันนี้พร้อมด้วยข่าวดีมากๆ สองอย่าง!”
แฟรี่ที่ตะโกนเสียงดังมองไปยังเหล่ามนุษย์พร้อมด้วยรอยยิ้มที่ระบายเต็มใบหน้า
“ข่าวดีแรกคือหากพวกคุณมีชีวิตรอดได้เกิน 72 ชั่วโมงนับจากนี้ พวกคุณก็จะได้ออกจากที่นี่!”
“…”
เหล่าผู้คนได้ยินข่าวนั้น ทว่าไม่ได้มีสีหน้ามีความสุขแต่อย่างใด
เพราะมันดูเหมือนว่าแม้พวกเขาจะออกจากที่นี่ไป สถานที่ที่พวกเขาจะไปก็ไม่ได้ปลอดภัยเท่าไหร่นัก
ไม่สิ เมื่อมันเป็นเพียงการฝึกซ้อม มันก็ชดเจนแล้วว่าพวกเขาจะไปยังสถานที่ที่อันตรายกว่าเดิม
แฟรี่หัวเราะใส่คนเหล่านี้
“ฉันคิดว่าฉันรู้ว่าพวกคุณรู้สึกยังไง แต่เมื่อคุณได้ยินถึงข่าวต่อไป คุณจะคิดว่ามันเป็นข่าวดีมากๆ”
และขณะที่ผู้คนกำลังจับจ้องไปยังแฟรี่ มันก็ได้ดีดนิ้วของมัน
แคร่กแคร่กแคร่ก
บางสิ่งได้ปรากฏขึ้นจากการเคลื่อนไหวมือเล็กๆ น้อยๆ นั่น
รูปร่างของมันเกือบจะเทียบเท่ากับตึกเล็กๆ ตึกหนึ่ง
‘…แท่นบูชา?’
ผู้คนมีสีหน้าแปลกประหลาดขณะที่พวกเขามองไปยังสิ่งก่อสร้างนั้น
มันคล้ายคลึงกับแท่นบูชาในเมืองแอซเท็กโบราณอย่างมาก
แฟรี่หัวเราะขณะมองไปยังผู้คน
“มันคือแท่นบูชาเวทมนต์ มีสัตว์เลี้ยงที่น่ารักสุดๆ อยู่ข้างในหนึ่งตัว”
จากนั้นแท่นบูชาก็ได้ส่องประกายสีน้ำเงินอ่อนก่อนจะกลายเป็นโปร่งแสง
ภายในแท่นบูชานั้นคล้ายกับกล่องว่างๆ ไม่เหมือนรูปลักษณ์ภายนอกของมัน
และผู้คนก็ได้กลืนน้ำลายเมื่อพวกเขาเห็นสิ่งมีชีวิตภายใน
กรรรรรร…
บางสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเอเลี่ยน
ถ้าคุณไม่นับว่ามันมีขนาดราวๆ 15 เมตร
สิ่งที่อยู่ภายในแท่นบูชานั้นกำลังตะกุยกำแพงของแท่นบูชาราวกับว่ามันกำลังหงุดหงิดกับอะไรบางอย่าง
และที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือทุกครั้งที่มันตะกุยกำแพง ส่วนหนึ่งจะร่วงลงพร้อมกับเสียงร่วงกราว
“พวกคุณเหมือนมันไหม? มันถูกเรียกว่า <สัตว์อสูรกินเนื้อ> แต่ว่าเพื่อนของเราตรงนี้กำลังหิวมากในตอนนี้ เมื่อมันไม่มีอะไรให้กินด้านในและมันต้องการที่จะออกมาในตอนนี้ เราได้อดอาหารมันทั้งวันเพื่อการนี้เลยนะ”
“…”
“อย่างที่พวกคุณเห็น แท่นบูชานั้นสวยงามอย่างมาก แต่มันไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ มันอาจถูกทำลายในไม่ช้านี้ เมื่อโครงสร้างของมันเชื่อถือได้เหมือนกับรูปลักษณ์ของมัน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่ามนุษย์ก็มีสีหน้าหวาดกลัว
ทุกคนรู้
ว่าพื้นที่ที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้มีอยู่จำกัด
หากแท่นบูชาพัง พวกเขาจะถูกกินทั้งหมด
แม้ว่าพวกเขาจะซ่อน สัตว์อสูรก็จะกินพวกเขาทั้งเป็นขณะที่มันไล่ล่าพวกเขาทีล่ะคนยามค่ำคืน
จากนั้นผู้คนจึงตระหนักได้ว่าเหตุใดแฟรี่จึงได้บอกว่าข่าวก่อนหน้าเป็นข่าวดี
เพราะว่าพูดอีกอย่างคือ หลังจาก 72 ชั่วโมง พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่เดียวกับสัตว์อสูรนั่นแล้ว
‘เดี๋ยว มันบอกว่ามีข่าวดี 2 อย่างก่อนหน้า’
แฟรี่แย้มยิ้มก่อนที่จะเอ่ยต่อ
“ฉันบอกว่ามีข่าวดีสองอย่างก่อนหน้าใช่ไหม? โชคดีที่มีทางทำให้เขาหลับ ถ้าเขขาหลับเขาก็จะหยุดตะกุยผนังเพื่อที่จะออกมาจริงไหม?”
ไม่มีใครเอ่ยถาม
เมื่อมันมีตัวอย่างก่อนหน้าแล้วว่าผู้ที่เอ่ยถามจะเป็นเช่นไร
เมื่อไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากผู้คน แฟรี่ก็มีสีหน้าสลดไปชั่วครู่ก่อนที่มันจะพูดขึ้นอีกครั้ง
“คำตอบนั้นง่ายๆ ห้าคนต่อวัน”
“…?”
“ถ้าพวกคุณให้คนห้าคนกับเขาเป็นอาหาร เขาก็จะหลับ เมื่อมันเป็นเวลา 72 ชั่วโมง พวกคุณก็แค่ต้องให้เขาสามครั้งใช่ไหม?”
ทุกคนกัดฟันกรอดเมื่อได้ยินเช่นนั้น
‘เวรอะไรเนี่ย คนที่มีชีวิตรอดในตอนนี้เหลือแค่ราวๆ 60 คน…’
หมายความว่ามีเพียงแค่พวกเขาต้องใช้คนไปหนึ่งในสี่จากที่พวกเขามีอยู่เพื่อไม่ให้สัตว์อสูรนั่นหนีออกมา
‘ฉิบหายเอ้ย ถ้าเป็นแบบนั้นสู้ยังจะดีกว่า’
ขณะที่บางคนมีความคิดนี้อยู่ในสมอง แฟรี่ก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ตัวเลือกเป็นของคุณ ฮี่ฮี่ ให้หรือไม่ให้ แต่ฉันจะแสดงอะไรให้ดูเพื่อช่วยพวกคุณตัดสินใจ”
จากนั้นแฟรี่ก็ได้แสดงภาพเหตุการณ์สั้นๆ ในสมองของผู้คน
“คนเหล่านี้เป็นคนที่ตัดสินใจจะสู้กับมันด้วยกัน จากการฝึกซ้อมก่อนหน้า”
ผู้คนที่เห็นภาพนั้นมีสีหน้าหวาดผวาสุดใจ
สัตว์อสูรที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้นได้ทำการสังหารหมู่
ฉีกกระชากและฟาดทุกสิ่งอย่างโหดเหี้ยม
และสัตว์อสูรที่ได้หลบหนีออกมาไม่ได้หยุดเพียงแค่ห้าคน
มันได้กลืนกินมนุษย์ทุกคนด้วยความบ้าคลั่ง
พวกเขาสู้ด้วยการรวมพลังกัน แต่ทุกครั้งที่มันกินใครบางคนเข้าไป พลังชีวิตของมันก็จะฟื้นฟูและอาการบาดเจ็บบนร่างก็ถูกรักษา
คนเกือบ 70 คนได้พุ่งเข้าไปหามัน แต่พวกเขาถูกสังหารจนหมด และผู้ที่หนีไปก็ได้ถูกกินทีหลัง
สัตวอสูรที่กินทุกคนเข้าไปถูกทิ้งไว้ตัวเดียวราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“…”
ทุกคนตระหนักได้ว่าการตัดสินใจใดที่พวกเขาต้องทำหลังจากที่ภาพเหตุการณ์นั้นจบลง
หนึ่งในผู้ที่ดูภาพนั้นเอ่ยถามขณะกัดฟันกรอด
“เราจะเลือกได้ยังไง!? คนที่จะเข้าไปน่ะ!”
จากนั้นแฟรี่จึงเอ่ยตอบด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
“ทำไมคุณถามฉันเรื่องนั้นล่ะ?”
“…”
“จับฉลาก บังคับโยนพวกเขาลงไป คิดดูด้วยตัวเอง คุณแค่ต้องนำพวกเขาเข้าไปด้านในขณะที่ยังมีชีวิต ไม่ใช่ศพ”
“…”
แฟรี่ที่มีสีรอยยิ้มสบายอารมณ์เอ่ยขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย
“อย่างไรก็ตาม พวกคุณควรจะตัดสินใจภายในหนึ่งชั่วโมงนะ ถ้าคุณสังเวยไปครั้งหนึ่ง พวกคุณก็จะปลอดภัยไป 24 ชั่วโมง จากนั้นถ้าคุณสังเวยเพิ่มอีกในชั่วโมงต่อไป คุณก็จะปลอดภัยอีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นก็แข็งแกร่งไว้ในอีก 72 ชั่วโมงนะ บาย!”
จากนั้นแฟรี่ก็หายไปแบบนั้น
ผู้คนเริ่มเอ่ยพึมพำ
ความคิดเห็นของพวกเขามุ่งไปที่จุดเดียว
การต่อสู้นั้นเป็นไปไม่ได้
ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีทางเลือกเดียว
ในขณะที่พวกเขากำลังตั้งแง่กับคนรอบด้าน ชายคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้น
“ถ้าให้มันยุติธรรม… จับฉลากเป็นไง? เราเลือกมาห้าคนในวันแรก อีก 5 ในวันต่อไป… แบบนั้น”
จากนั้นอีกคนหนึ่งก็เค้นเสียงขึ้น
“ทำไมเราต้องทำให้มันยุติธรรมด้วย?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนจึงมองไปทางต้นเสียง
มิฮีที่ได้หันไปทางนั้นเช่นกันก็อ้าปากค้าง
‘เป็นซังจิน… กับคนอื่นๆ’
ทั้งห้าได้ปลดปล่อยออร่าที่แตกต่างออกมาจากการมองเพียงครั้งเดียวในตอนนี้
รอยแผลทั่วร่างนั้นหมายความว่าพวกเขาได้ต่อสู้อยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งตอนนี้
‘ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างแตกต่างไปจากซังจิน…’
ความมั่นใจของเขามีมากขึ้น และเขากำลังยืนอยู่ตรงกลางราวกับว่าเขากำลังทำหน้าที่ของแทซูนแทน
ในขณะที่มิฮีกำลังมองไปยังซังจิน ชายที่เอ่ยก่อนหน้าก็ได้ขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยถาม
“งั้นนายจะให้เราทำยังไง?”
เขาไม่ได้พูดอย่างเป็นทางการอีกเมื่อความคิดเห็นของเขาถูกปฏิเสธ และคนที่ปฏิเสธยังเป็นคนหนุ่มคนหนึ่งด้วย
ซังจินเอ่ยตอบคำนั้น
“มันไม่ชัดเจนเหรอว่าเราควรจะโยนคนที่ไร้ประโยชน์ที่สุดห้าคนเข้าไปก่อน?”
ทุกคนขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น
พวกเขามีความคิดแบบนั้น แต่มันยากที่จะพูดออกไปแบบนั้น
ซังจินเดินออกไปเบื้องหน้าขณะที่เขามองไปยังคนอื่นๆ และเอ่ยว่า
“มันไม่ใช่เวลาที่จะมาขี้เกียจ เรากับมันแยกกันตอนนี้ แต่เราต้องอยู่ที่นี่อีก 72 ชั่วโมง! แต่อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากเราออกไปด้านนอก?”
ทุกคนเริ่มกระซิบและพึมพำ
“คิดดูสิว่าจำนวนคนมากแค่ไหนที่หายไป! มันไม่ได้มีแค่ 100 คน ถ้าเราออกไป คนที่มีประสบการณ์คล้ายๆ กับเราจะเดินว่อนอยู่ทั่วไปหมด ไม่สิ เราไม่แม้แต่จะรู้ด้วยซ้ำว่าสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่าเดิมจะปรากฏตัวเมื่อไหร่ เราอาจจะกระทั่งต้องสู้กับสัตว์อสูรแบบนั้น!”
ทุกคนผงกศีรษะให้กับคำพูดนั้น
เมื่อพวกเขาก็คิดแบบนั้นเช่นกัน
มันไม่ใช่เกมที่ความยากจะลดลงเมื่อคุณเก่งขึ้น
และโอกาสที่จะได้เจอคนที่ได้ผ่านประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันกับพวกเขานั้นมีอยู่สูง
ขณะที่ผู้คนมองไปยังชายหนุ่ม ซังจินก็ได้ตะโกนเสียงดัง
“แน่นอน เพื่อที่จะสู้กับพวกนั้นเราต้องรวมพลังกัน และมันชัดเจนว่าเราต้องการคนที่แข็งแกร่งมากกว่า! เมื่อถ้าพวกเราออกไปเราต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าเดิม!๐
จากนั้นชายหนุ่มก็ได้ฟาดมือไปยังสิ่งก่อสร้างข้างๆ เขา
ตูม!
กำแพงของสิ่งก่อสร้างนั้นระเบิดออกจากกำปั้นของชายหนุ่ม
มิฮีที่เห็นแบบนั้นพึมพำอยู่ภายในใจด้วยความตะลึง
‘เมื่อไหร่กันที่เขา…’
เธอควรจะมั่นใจ เมื่อเธอได้ติดตามฮันซูพร้อมล่าไปกับเขา และเธอได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าผู้อื่น
แต่ซังจินนั้นกระทั่งแข็งแกร่งกว่าเธอ
หากพลังกายของเขามากขนาดนั้น ค่าสถานะอื่นของเขาก็คงอยู่ในระดับเดียวกัน
ในขณะที่มิฮีกำลังตะลึง ซังจินก็ได้เอ่ยต่อ
“ดังนั้นมันไม่ชัดเจนเหรอว่าเราควรเอาพวกที่อ่อนแอเข้าไปก่อน? ฮันซู นายคิดว่าไง?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็มองไปยังทิศทางที่ซังจินเอ่ยไปถึง
TL: พ่อหนุ่มซังจินนี่หางานให้คนแก่ซะงั้น
ติดตามข่าวสารที่รวดเร็วกว่าได้ทาง Facebook: Netear.ST นะคะ