บทที่ 142: เมฆทมิฬ (3)
ฮันซูตะโกนขึ้นขณะที่มองไปยังอคาดัสที่กำลังพุ่งเข้ามา
“ไม่ต้องไปสนใจเมฆด้านบนพวกมัน! แค่ทำลายข้อต่อของร่างพวกมันพอ!”
ตูมมมม!
และราวกับว่าเขากำลังแสดงตัวอย่าง หอกสายฟ้าในมือของเขาได้บินผ่านอากาศไป
ตูมมม!
หอกสายฟ้าของฮันซูทะลวงผ่านอากาศและร่างของอคาดัสสีดำ
อคาดัสที่ฟื้นฟูตัวอย่างต่อเนื่องเพราะเมฆสีดำไม่อาจฟื้นฟูตัวเองเช่นที่ผ่านมาและร่วงลงมาจากอากาศ
ฮันซูผงกศีรษะเมื่อเห็นภาพนั้น
‘มันทำงานได้ดี’
สมาชิกเผ่าเมฆทมิฬค่อนข้างน่ารำคาญในการรับมือในเมื่อสิ่งที่พวกมันควบคุมแทบจะเรียกได้ว่าเป็นอมตะหากพวกเขาไม่จัดการเมฆสีดำที่อยู่เบื้องหลังร่างกายเหล่านั้น
แต่มันไม่มีอะไรให้ต้องสนใจเมฆพวกนั้นในเมื่อแมงมุมที่ได้รับการเสริมพลังจากเวทมนต์กำลังทำลายเมฆดำอยู่
ในเมื่อเวทมนต์ที่อยู่ในตัวของแมงมุมสีฟ้าพวกนั้นจะทำให้วิญญาณถูกจำกัดอยู่ภายในร่างเนื้อ
ซึ่งหมายความว่าเมฆดำจะไม่อาจทำอะไรได้ตราบเท่าที่ร่างกายของพวกมันได้รับความเสียหาย
ผู้คนที่เห็นภาพนั้นพลันรู้สึกใจชื้นขึ้นและเริ่มโจมตีร่างของพวกมัน
ตูมมม!
“โอ้! มันใช้ได้!”
“เยี่ยม! ไอ้พวกนั้นไม่ฟื้นตัวแล้ว!”
ทุกคนตั้งสติและเริ่มโจมตีอคาดัสที่พุ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างดุดัน
แม้ว่าพวกเขาจะตามฮันซูมาที่นี่ พวกเขาก็ถูกกดดันจากเมฆสีดำที่ควบคุมอคาดัสอยู่
พวกมันจะฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องหากไม่ทำอะไรกับเมฆดำพวกนั้น
แต่กระทั่งเมฆพวกนั้นก็รับมือยากในเมื่อมันถูกล้อมไปด้วยพลังงานแปลกประหลาดบางอย่างอยู่
แต่เมื่อสองสิ่งนั้นหายไป อคาดัสก็กลับมาเป็นที่คุ้นเคยและง่ายจะรับมือกว่าเดิมมาก
พวกมันเหมือนกับสัตว์อสูรที่พวกเขาเคยจัดการมาก่อนในต่างโลก
กวานแจถอนหายใจเมื่อเห็นภาพนั้น
‘โล่งใจชะมัด’
แม้ว่าเขาจะตามฮันซูมาที่นี่เพราะหนี้บุญคุณที่ติดอยู่ในใจ เขาก็ยังคงสะดุดอยู่กับวิธีการรับมือศัตรู
ในเมื่อสิ่งที่เป็นอมตะนั้นน่าพรั่นพรึงเกินกว่าจะต่อต้าน
แต่เขาก็ตระหนักได้ว่ามันไม่ได้จบลงแค่นั้นสำหรับพวกเขาและคนอื่นๆ
ตูมมมม!
อคาดัสสีทองลงมาจากท้องฟ้า
กี๊ซซซ
ถึงแม้ว่าแมงมุมสีฟ้าจะกัดกินก้อนเมฆอย่างต่อเนื่อง ร่างกายที่ได้รับการเสริมพลังแล้วของพวกมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป
อคาดัสสีทองที่กลายเป็นสีดำมองไปรอบๆ
ราวกับว่าพวกมันไม่สนใจพวกอ่อนแอ
“… ฉิบหาย เอาจริงดิ?”
พวกมันกำลังมองหาผู้นำหรือไม่ก็คนสั่งการอย่างโจ่งแจ้ง…
ในระหว่างที่กวานแจกำลังสงสัยการกระทำของพวกมันนั้นเอง
ตูมมม!
พวกมันได้กระทืบพื้นจนเกิดเสียงระเบิดดังลั่นและทะยานร่างของพวกมันมายังกวานแจ
“เหวอออ!”
“หลบ!”
ลูกกิลด์รอบๆ พยายามจะเข้ามาช่วย แต่ว่ามันไร้ประโยชน์
มันมีความแตกต่างมหาศาลระหว่างนักผจญภัยทั่วไปกับระดับบัลลาดิ และระหว่างระดับบัลลาดิกับระดับมาร์กอช
และอคาดัสที่ร่วงหล่นนั้นแข็งแกร่งกว่าระดับมาร์กอชทั่วไป
มันเมินเฉยคนอื่นๆ ที่พยายามจะขัดขวางมันและโจมตีตรงมายังดาบที่เขากำเอาไว้ในมือขวา
เคร้งงง!
กวานแจที่ป้องกันเล็บของมันได้อย่างฉิวเฉียดรู้สึกได้ถึงกระดูกที่กำลังแตกร้าวอยู่ในร่างของเขา
การโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียว
การโจมตีเพียงแค่ครั้งเดียวนั่นได้ทำให้ร่างกายที่ได้รับการเสริมความแข็งแกร่งมาแล้วของเขาส่งเสียงแตกหักออกมา
ศัตรูแสนร้ายกาจที่เขาไม่ได้เผชิญหน้ามาพักใหญ่ๆ
‘เป็นแบบนี้ไม่ได้ เราต้องรวมตัวกัน…!’
กวานแจที่ปะทะกับอีกฝ่ายไปเพียงครั้งเดียวตัดสินใจมองหาทางปลอดภัยและรีบมองไปยังรอบกายของเขา
มันจะเกินไปหน่อยในการให้เขารับมือด้วยตนเอง
ระดับมาร์กอชจำนวนมากควรรวมตัวกันและจัดการมันลงในครั้งเดียว
แต่กวานแจตระหนักขึ้นได้ว่าคนอื่นๆ เองก็ไม่ได้ว่างพอจะทำแบบนั้น
ตูมม!
ตูม!
ฮันซูกำลังสู้กับสามตัวพร้อมกันค่อนข้างยุ่งมากพอแล้ว และคนอื่นๆ ที่อยู่ในระดับพอๆ กับเขาอย่างเอนบิ อารินก็กำลังสู้กับอคาดัสสีทองที่พุ่งเข้ามาหาพวกเธอ
นักผจญภัยคนอื่นๆ กำลังต่อสู้กับอคาดัสอย่างรุนแรงเช่นกัน
ในวินาทีที่เขาตระหนักได้ว่าไม่มีใครจะมาช่วยเขา
กวานแจพลันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
และมันทำให้เขารู้สึกประสาทเสียในการที่เขาเป็นแบบนั้น
‘พระเจ้า ฉันเดินทางในอีกโลกมานานแค่ไหนแล้ว… ไอ้การที่ฉันจะมารู้สึกกลัวหลังจากที่ผ่านเรื่องทั้งหมดนั่นมา’
ตำแหน่งของหัวหน้ากิลด์
การสั่งการจากเบื้องหลังมันมีประสิทธิภาพมากกว่าการสู้อยู่ในแนวหน้า
มันเป็นเวลานานมาแล้วจริงๆ ตั้งแต่ที่เขาได้เจอใครบางคนที่เขาต้องเอาชีวิตมาแขวนไว้บนเส้นด้ายและสู้กับพวกเขา
โดยเฉพาะศัตรูที่ไม่สนใจจะประนีประนอมหรือเจรจาและสนใจเพียงแค่การฆ่าเขาเท่านั้น
เคร้งง!
กวานแจขบฟันแน่นหลังจากที่ป้องกันกรงเล็บของอคาดัสอีกครั้ง
‘บ้าเอ้ย ฉันก็แค่หาข้ออ้าง’
เอนบิ อาริน
แม้ว่าเธอเองก็จะเป็นผู้นำของกิลด์ใหญ่และมีความแข็งแกร่งใกล้เคียงกับเขา เธอกลับกำลังไล่ต้อนอคาดัสสีทองราวกับสิงโตที่กำลังเลือดร้อน
เขาก็แค่กำลังหวาดกลัว
แต่ความคิดหนึ่งก็ได้แล่นผ่านสมองของกวานแจตามสัญชาตญาณเมื่อเขาตกอยู่ในอันตราย
‘บางทีฉันอาจจะควรหนีไปตอนนี้? พร้อมกับภรรยาของฉัน?’
พวกเขาหาประตูมิติเจอแล้ว
แม้ว่าอคาดัสสีเงินอาจจะขวางทางอยู่ พวกมันก็เป็นอันตรายต่อแค่พวกนักผจญภัยทั่วไป ไม่ใช่ต่อเขา
แต่เขาคิดนานเกินไป
‘โอ้ ฉิบหาย!’
ในระหว่างเวลาสั้นๆ ที่เขากำลังลังเล ดาบที่กลายเป็นสีดำไปของอคาดัสก็เหวี่ยงมายังโล่ที่กวานแจถือเอาไว้ <มรดกนักบุญ>
เคร้งงง!
อคาดัสที่จ้องมายังเขาปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหลังจากที่โล่กระเด็นออกไป
‘เชี่ย!’
ในตอนที่กวานแจหลับตาแน่นเมื่อเห็นว่าแขนของอคาดัสเหวี่ยงตรงมายังเขานั้นเอง
ตูมมมม!
อคาดัสสีทองเบื้องหน้าเขาได้ถูกดจมตีอย่างรุนแรงจากเบื้องหลังและกลิ้งไปบนพื้น
กวานแจผวาไปเมื่อเห็นภาพนั้น
‘ใครกัน?’
ทุกคนที่สามารถรับมืออคาดัสสีทองได้กำลังยุ่งอยู่
ทว่าไม่ช้ากวานแจก็รู้ว่าใครมาช่วยเขา
“ร่างกายของนาย… ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ฮันซูเหลือบมองไปยังรูขนาดใหญ่ที่ท้องของเขาก่อนจะยักไหล่
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวมันก็ฟื้นตัว”
ถ้าคุณสามารถฆ่าศัตรูของคุณได้ งั้นมันก็นับว่าเป็นกำไรแม้ว่าจะต้องมีรูปรากฏขึ้นที่ท้องของคุณ หรือว่าแขนขาจะหัก
และเขาเองก็อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าคนอื่นๆ มากมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
ในเมื่อเขามีหัวใจสามดวง
‘เสร็จไปหนึ่ง’
แค่นี้ไม่อาจนับได้ว่าเป็นอาการบาดเจ็บใหญ่โตในอบิสด้วยซ้ำ
‘การสู้กับเผ่าพันธุ์ในอบิสทำให้ฉันคิดถึงอดีต…’
ร่างกายของเขายับเยินไปครึ่งหนึ่งเพื่อที่จะจัดการเผ่าเมฆทมิฬในอดีต
ฮันซูเหลือบมองไปยังรูขนาดใหญ่ที่ท้องของเขาอีกครั้งก่อนจะทำท่าจะมุ่งหน้าไปยังอีกทางหนึ่ง
‘อีกไม่นานเราจะไปถึงอาร์คลาทอรี่’
กวานแจกัดฟันกรอดในขณะที่มองไปยังฮันซูและตะโกนออกไป
“บ้าเอ้ย! ถอยเถอะ! เราไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้สักหน่อย! กลับกันเถอะ! นายไม่มีคนที่นายใส่ใจรึไง? มันจะมีอะไรเหลือให้พวกเราก็ต่อเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ทำไมนายถึงต้องทำขนาดนี้! มันเป็นเกมหรืออะไรรึไง?”
ในเกม เป้าหมายของคนก็คือการไปได้ไกลกว่าคนอื่นๆ
แต่ในความเป็นจริง การมีชีวิตรอดคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
พลังของคู่ต่อสู้มันเหนือกว่าที่พวกเขาคาดเอาไว้มาก
และความแตกต่างระหว่างการที่สามารถหนีไปยังประตูมิติได้ตลอดเวลากับการที่ศัตรูกำลังขัดขวางทางไปยังประตูมิตินั้นแตกต่างกันมาก
เหมือนกับการที่ติดอยู่ในกรงกับงูพิษ ความรู้สึกนี้ได้ทำให้กวานแจรู้สึกไม่สบายอย่างมาก
ฮันซูเอ่ยขึ้น
“ฉันทำแบบนี้เพราะฉันมีคนที่ฉันใส่ใจ”
“อะไรนะ?”
ฮันซูพึมพำอยู่ภายในใจ
‘มันจะไม่เหลืออะไรเลยถ้าเราแพ้’
สมาชิกเพียงตนเดียวจากเผ่าพันธุ์ของอบิส
สิ่งมีชีวิตหัวเดียวกระเทียมลีบที่ไม่อาจแม้แต่จะใช้พลังของมันได้อย่างเต็มที่แต่ยังคงสร้างความวุ่นวายได้มากขนาดนี้
ไอ้ตัวแบบนี้คือสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าในอบิส
และเขารู้ดีเกินไปว่าเกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์ที่ไม่ได้เตรียมตัวเลยแม้แต่น้อย
ในเมื่อเขาเคยได้รับรู้มันด้วยร่างกายของเขาเอง
‘พี่ก็ตายไปตอนนั้นเหมือนกัน…’
กวานแจสามารถรับรู้ได้ถึงความแตกต่างระหว่างเขาและฮันซูที่เขาไม่เคยสัมผัสได้ได้ในที่สุดขณะที่เขามองไปยังฮันซูที่ไม่มีความคิดที่จะถอย
ฮันซูกำลังมองบางอย่างที่ใหญ่โตมาก
บางอย่างที่พวกเขาไม่อาจมองเห็น
‘นายกำลังมองอะไรอยู่? ทำไมนายถึงไม่บอกมันกับพวกเรา?’
เหตุผลที่ทำให้อีกฝ่ายยังคงมุ่งหน้าต่อไปแม้ว่าจะมีรูอยู่ที่ท้อง
กวานแจรู้สึกสงสัยถึงเหตุผลนั้นนัก
ฮันซูเอ่ยขึ้นกับกวานแจ
“มันมีบางอย่างที่ฉันพูดผิดไป”
“อะไรนะ? ไอ้เวรเสียส…”
กวานแจแสดงสีหน้าตื่นตระหนกออกมา
กับการที่อีกฝ่ายเอ่ยเรื่องแบบนั้นออกมาหลังจากทั้งหมดนี่
ฮันซูส่ายศีรษะเมื่อได้ยินคำสบถของกวานแจ
“อย่ากังวลเลย ฉันกำลังบอกว่าการคาดการณ์ของฉันที่ว่าจะไม่มีอะไรให้พวกนายมันผิดพลาด”
<โว้ว สมาชิกของเผ่าพันธุ์เมฆทมิฬค่อนข้างจะเกินกว่าที่พวกเราจะเมินได้อยู่นะ เราต้องทำอะไรให้คุณรึเปล่า หืม? มันมีอีกหลายอย่างที่คุณทำเหมือนกัน…>
ฮันซูคิดถึงคำพูดที่แฟรี่กระซิบกับเขาก่อนหน้า
กัลคิม่าพึมพำอย่างสิ้นหวังขณะที่มองไปยังสถานการณ์ด้านนอก
“พระเจ้า นี่มันขายขี้หน้าเสียจริง บ้าบออะไรเนี่ย…”
แม้ว่าพวกมันจะเป็นแค่ของเล่น พวกมันก็คือของเล่นที่เขาควบคุมอยู่
พวกมันไม่ใช่สิ่งที่จะถูกจัดการได้โดยแมลงพวกนั้น
‘อย่างที่คิด… ฉันต้องการร่าง’
ของเล่นและร่างแยกมีขีดจำกัดอยู่
เผ่าพันธุ์เมฆทมิฬคือเผ่าพันธุ์นักสู้
เขาต้องการร่างกายที่ทรงพลังให้ร่างหลักของเขาควบคุม
‘ฉันแค่ต้องควบคุมไอ้เจ้านี่!’
กัลคิม่ากัดฟันกรอดขณะที่มองไปยังเอลคาเดียนที่อยู่เบื้องหน้า
แผนของเขาค่อนข้างเรียบง่าย
โยนร่างอ่อนแอนี่ทิ้งไปและย้ายไปยังร่างใหม่
ไอ้ร่างกระจอกนี่สามารถใช้พลังของเขาได้เพียงแค่ราวๆ 0.5% จากทั้งหมดเท่านั้น
แต่เขายังสามารถจัดการเอลคาเดียนที่อยู่ด้านหน้าเขาตอนนี้ได้ด้วยพลังเพียงแค่นั้น
ถ้าเขาได้ครอบครองร่างกายของเอลคาเดียน งั้นเขาก็อาจจะสามารถใช้พลังได้ถึง 5% จากพลังทั้งหมดของเขาได้
เมื่อเป็นแบบนั้น แม้ว่าของเล่นด้านนอกนั่นจะถูกทำลายมันก็ไม่สำคัญแม้แต่น้อย
เขาก็แค่ต้องกลืนพวกมันลงไปด้วยร่างหลักของเขา แล้วทุกอย่างก็จะจบลง
และเขาก็ค่อนข้างมั่นใจ
แม้ว่าพวกที่อยู่ด้านนอกจะกำลังฝ่าเข้ามาอย่างรื่นเริง เขาก็มั่นใจว่าเขาจะสามารถยึดร่างของเอลคาเดียนได้ก่อนหน้าที่พวกนั้นจะมาถึง
แต่ความดึงดันของอีกฝ่ายมันเหนือกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้
‘ฉันไม่รู้หรอกว่าเจ้านี่เป็นคนประเภทไหน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป… มันดูเหมือนว่าร่างของฉันจะถูกทำลายและฉันจะถูกบังคับออกจากร่าง นี่มันน่าขายขี้หน้าแค่ไหนกัน?’
ไม่สิ การถูกไล่ออกจากร่างยังนับว่าดี
พวกแมงมุมสีฟ้าด้านนอกนั่น
ถ้าดวงวิญญาณของเขาถูกปิดกั้นด้วยพวกมันพร้อมกับที่ร่างของเขาถูกทำลายในเวลาเดียวกัน งั้นเขาก็จะตายอยู่ที่นี่
สถานที่ที่เขามาหาความสนุกจะกลายเป็นหลุมศพของเขา
กัลคิม่ารู้สึกถึงสันหลังที่หนาวเยือก
และจากนั้นจึงรู้สึกโมโห
โมโหที่ตัวเขากำลังรู้สึกถูกคุกคามถึงขนาดนี้จากพวกแมลงนั่น
กัลคิม่าที่กำลังครุ่นคิดว่าจะระบายความโกรธของเขาออกไปยังไงพลันคว้าศีรษะของเอลคาเดียนที่ต่อต้านเขามาตลอดขึ้น
จากนั้นจึงกระซิบไปที่ใบหูของเธอ
“ดี ฉันยอมรับว่าแกค่อนข้างมีฝีมือ กับการที่แกต้านทานมาได้ถึงขนาดนี้ ฉันเองก็ยังต้องยอมรับไอ้เจ้าคนด้านนอกนั่นด้วย ฉันไม่คิดเลยว่าตัวฉันจะถูกไล่ต้อนมาไกลขนาดนี้”
แม้ว่าเขาจะหัวเสีย แต่เขาก็ตัดสินใจจะยอมรับสิ่งที่เขาต้องยอมรับ
ในเมื่อเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าสิ่งมีชีวิตสองตัวจะสามารถไล่ต้อนเขามาได้ไกลถึงขนาดนี้
หากเป็นแบบนี้ต่อไป การกินร่างของเอลคาเดียนก่อนหน้าที่คนด้านนอกจะมาถึงก็กลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่เขาก็มีวิธีการอื่นเช่นกัน
“ดูเหมือนว่าแกจะค่อนข้างใส่ใจเผ่าพันธุ์ของแกเลยนะ”
แม้ว่าการยึดครองจิตใจของอีกฝ่ายอย่างสมบูรณ์จะค่อนข้างเกินมือเขาไปหน่อย แต่เขาก็ยังสามารถค้นพบได้ว่าอะไรอยู่ในความคิดของอีกฝ่ายตลอดเวลา
ความใส่ใจในเผ่าพันธุ์ของเธอ
เขาจะมุ่งเป้าไปที่มัน
“ฉันจะพูดแบบนี้ ส่งร่างของแกมาแล้วก็ตกลงสัญญาซะ แล้วฉันจะปล่อยให้เผ่าพันธุ์ของแกมีชีวิตอยู่ ฉันขอสาบานในนามของมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ บาร์บาทอย”
เอลคาเดียนตื่นตะลึงกับคำพูดนั้น
เขา สมาชิกของเผ่าปีศาจ ได้สาบานในนามของราชาของเขา
ซึ่งหมายความว่าเขาต้องทำตามสัญญานั้น
ในเมื่อเผ่าของเขาทั้งเผ่าจะถูกลากลงไปยังเตาเผาเพลิงนรกและถูกเผ่าทั้งเป็นในการที่ทำให้ชื่อของราชาปีศาจต้องแปดเปื้อนหากเขาไม่รักษาสัญญา
กัลคิม่าเอ่ยขึ้นขณะที่จ้องไปยังเอลคาเดียน
“แต่… ถ้าแกปฏิเสธ งั้นฉันก็จะไม่ยั้งมือแล้ว ฉันจะแสดงให้แก คนที่ลากฉันมาที่นี่ เห็นว่าอะไรคือนรกที่แท้จริง”
ขณะที่เขาเอ่ย เมฆสีดำเบื้องหลังเขาก็กระเพื่อมไหวขึ้นลง
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขากำลังโกรธอย่างมาก
เขาเร่งร้อนถึงระดับนั้น
ทั้งอาร์คลาทอรี่สั่นสะท้านจากความโกรธของกัลคิม่า
กัลคิม่าเคี้ยวฟันกรามของมนุษย์ที่เขากำลังควบคุมอยู่จนมันหักและเอ่ยเสริมขึ้น
“ฉันสัญญา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันจะจัดการพวกแกทั้งเผ่าก่อนที่ฉันจะตายไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ต่อหน้าแกตอนที่แกกำลังมองอยู่ ด้วยของเล่นที่แกสร้างขึ้นด้วยตัวเอง ฉันจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ส่งร่างของแกมา เดี๋ยวนี้”
กัลคิม่าลูบศีรษะของเอลคาเดียนอย่างแผ่วเบาหลังจากที่เอ่ยจบ
อีกฝ่ายไม่อาจที่จะปฏิเสธข้อเสนอของเขาได้ด้วยความรักและความใส่ใจมหาศาลที่เธอมีต่อเผ่าพันธุ์ของเธอ
‘ฉันต้องจัดการมันอย่างระมัดระวังในเมื่อมันจะกลายมาเป็นร่างของฉันในไม่ช้า’
กัลคิม่ายื่นคำขาด
สีหน้าของเอลคาเดียนแข็งทื่อขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น
TL: จริงๆ ร่างก็ไม่ใช่ร่างคุณด้วยไง โยนไปโยนมาเป็นลูกบอลเลย สงสารทารูโฮลสุดด