บทที่ 141: เมฆทมิฬ (2)
ตูมมม! ตูมมมม! ตูมมมม!
กองทัพขนาดยักษ์ที่ประกอบไปด้วยมนุษย์และอคารอนได้เดินหน้าตรงไปยังอาร์ลาทอรี่
เอนบิ อารินที่อยู่ด้านหน้าสุดของกองทัพมองไปยังผู้คนที่เดินอยู่ข้างๆ เธอ
กิลด์ครอสที่เธอนำ
กิลด์รีโรรีโรเรของกวานแจ
กิลด์โอโคเนลลี่ของแอเรียล หนึ่งในสามกิลด์ใหญ่ก่อนหน้าที่จะเกิดกิลด์ยูนิตี้ขึ้น
‘อืม ฉันไม่คิดเลยว่าเจ้าพวกนี้จะมา’
เอนบิ อาริน หัวเราะคิกคักขณะที่มองไปยังแอเรียล
“ทำไมพวกเธอถึงมาล่ะ”
ทำไมใครบางคนที่ต้องลำบากอย่างมากหลังจากที่ถูกจับเป็นตัวประกันโดยฮันซูถึงมาอยู่ที่นี่
และกระทั่งมาถึงก่อนที่เธอหรือกวานแจจะมาถึงด้วย
แอเรียลพึมพำเสียงเบาเป็นคำตอบ
“อย่ามายุ่งเรื่องคนอื่นน่า”
“อะไรนะ?”
แอเรียลไม่ได้ตอบเอนบิ อารินต่อและทำเพียงพึมพำอยู่ในใจ
‘ฉันจะพลาดโอกาสทองนี้ไปไม่ได้’
เธอต้องยอมรับแล้วในตอนนี้
ว่ามนุษย์เริ่มที่จะหมุนไปโดยมีฮันซูเป็นจุดศูนย์กลางหลังจากที่เขาปรากฏตัวขึ้น
เธอสามารถบอกได้เพียงแค่มองไปรอบๆ ตัวเธอในตอนนี้
ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
สมาชิกของกิลด์ยูนิตี้จำนวนมากที่ไหลทะลักตรงไปยังโรงงาน
มันจะเร็วกว่าในการหาพวกที่ไม่เข้าร่วมแทนที่จะนับคนที่อยู่ที่นี่
‘ไอ้การที่คนจำนวนมากขนาดนี้ตั้งใจมาด้วยตัวเองเนี่ย…’
แอเรียลเม้มริมฝีปาก
แอเรียลรู้จักตนเองดี
แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง แต่เธอมีความทะเยอทะยานมากกว่าผู้ชายเมื่อเป็นเรื่องของอำนาจ และเธอต้องการให้ความคิดเห็นของเธอมีน้ำหนักมากกว่าคนอื่นๆ
มันมีสองทางที่จะทำเช่นนั้นได้
เป็นคนที่ยอดเยี่ยมด้วยตนเอง หรืออยู่ด้านหลังใครบางคนที่ทำสิ่งที่ยอดเยี่ยม
แม้ว่ามันจะกระทบศักดิ์ศรีของเธออยู่บ้าง แต่แอเรียลก็ตัดสินใจจะยอมรับมัน
‘ตัวเลือกหลังดีกว่าในตอนนี้’
นี่คือสาเหตุให้แอเรียลเข้าร่วมการต่อสู้นี้กระทั่งก่อนหน้ากวานแจหรือเอนบิ อารินเพื่อที่จะช่วยเหลือฮันซู
‘ฉันอยากจะสนิทกับหมอนั่น’
ความสัมพันธ์จะพัฒนาไปอย่างรวดเร็วด้วยการติดหนี้บุญคุณและชดใช้มัน
เหมือนกับธนาคาร
การยืมและจ่ายเงินเดือนต่อเดือนอย่างขยันขันแข็งจะเพิ่มคะแนนความน่าเชื่อถือได้รวดเร็วกว่ามาก
‘นี่คือโอกาส… ถึงแม้ฉันจะไม่ใช่อันดับหนึ่ง… อย่างน้อยฉันก็น่าจะอยู่ในสายตาของเขาบ้าง มันคงจะดีถ้าฉันสนิทกับเขามากขึ้นกว่านี้อีกหน่อย’
แอเรียลหลุดออกจากความคิดของเธอด้วยใบหน้าที่แดงก่ำขึ้นเล็กๆ ก่อนจะกลับมาสู่ความเป็นจริง
‘จะยังไงก็เถอะ… แบบนี้เราจะชนะได้เหรอ?’
แม้ว่าเธอจะเสี่ยงเพราะเธอคิดว่าพวกเธอจะชนะได้ ความมั่นใจของเธอก็สั่นสะท้านเมื่อเธอเห็นอาร์คลาทอรี่ที่อยู่ห่างออกไป
หากทุกอย่างในโลกสามารถแก้ไขได้ด้วยการที่ผู้คนรวมพลังกัน งั้นมันก็คงไม่มีใครมองหาพระเจ้าหรอก
การแก้ไขปัญหาด้วยความกล้าและมิตรภาพมันเป็นอะไรที่จะเกิดขึ้นเพียงในการ์ตูนเท่านั้น
ผู้คนจะเริ่มภาวนาต่อพระเจ้าเมื่อมีบางอย่างที่เป็นไปไม่ได้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเกิดขึ้น
‘… มันให้ความรู้สึกสิ้นหวังสุดๆ’
หากมันมีวังของเทพผู้ชั่วร้าย งั้นมันก็คงจะมีกลิ่นอายแบบที่เธอกำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้
แอเรียลมองไปยังอาร์คลาทอรี่ที่คนจากเผ่าเมฆทมิฬน่าจะอยู่ด้านในก่อนจะแสดงสีหน้ากระวนกระวายออกมา
‘ตัวเลือกของพวกเราถูกต้องรึเปล่า?’
แอเรียลคิดถึงเรเซียม มือขวาของเธอที่ไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไป
<เชี่ย! ทุกคนบ้าไปหมดแล้ว มันเป็นใครกัน! ฉันจะหนีไปที่ประตูมิติ!>
เธอบอกให้คนอื่นๆ ไปพร้อมกับอีกฝ่ายผ่านประตูมิติในเมื่อเธอไม่มีอำนาจใดๆ ในการหยุดพวกเขาอยู่แล้ว
บางทีมันคงจะมีอีกไม่น้อยจากกิลด์อื่นๆ เหมือนกัน
จำนวนของคนที่หนีไปค่อนข้างสูง
พวกเขาอาจจะสามารถหนีผ่านประตูมิติไปได้โดยไม่มีปัญหามากภายใต้ความวุ่นวายนี้
ในตอนนั้นเอง
ข้อความหนึ่งได้บินตรงมายังแอเรียล
<อ๊ากกกก! เชี่ย! หัวหน้ากิลด์! ช่วยพวกเราด้วย!>
“… หือ?”
แอเรียลตื่นตระหนกไปกับข้อความเร่งด่วนที่เธอเพิ่งจะอ่าน
<อ๊ากกกก!>
<ว๊ากกกก! ไอ้เวรพวกนี้! พวกมันไม่ตาย!>
สมาชิกเผ่าเมฆทมิฬ กัลคิม่า หัวเราะราวกับคนเสียสติเมื่อเขาเห็นภาพการสังหารหมู่ที่อคาดัสกำลังลงมือ
ในเมื่อมันไม่มีความจำเป็นในการเก็บพวกที่หนีไปยังประตูมิติเอาไว้เพราะการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์
‘ใช่แล้ว นี่คือสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น’
ทุกคนต่อสู้กับอคาดัสด้วยพลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ ทว่ามันล้วนไร้ประโยชน์
<ไอ้บัดซบนี่! พวกมันยังเคลื่อนไหวได้ถึงพวกเราจะทำลายมันไปแล้ว!>
<กรี้ดดดด! เมฆ! โจมตีเมฆ!>
ตราบเท่าที่เมฆสีดำที่ควบคุมอคาดัสยังคงอยู่ ทหารที่มันควบคุมอยู่ก็จะไม่หยุดเคลื่อนไหว
แน่นอนว่าพวกที่มีสติกว่าจะโจมตีก้อนเมฆเหนือศีรษะของอคาดัส แต่มันก็ยังคงไร้ประโยชน์
ในเมื่อร่างของเขา เมฆทมิฬ ถูกสร้างขึ้นโดยที่ไม่มีสิ่งใดเหมือนกับความรู้และพลังในโลกใบนี้เลย
มันไม่ได้ถูกทำลายง่ายๆ
กัลคิม่าที่กำลังมองภาพการสังหารหมู่อยู่หมุนตัวและมองไปยังมนุษย์ที่กำลังพุ่งเข้ามาหาเขา
พวกที่ไม่ได้หนีไปและตัดสินใจที่จะสู้กับเขาแทน
‘แมลง’
เขาประหลาดใจไปเพียงแค่ชั่วขณะเมื่อเห็นมนุษย์และอคารอนที่กำลังพุ่งเข้ามาจากห่างออกไป
เขาตกใจไปเล็กน้อยในเมื่อพวกที่ไม่ควรจะรวมตัวกันกลับมารวมตัวกันจริงๆ แต่พวกมันก็ยังคงไม่อาจเอาชนะเขาได้แม้ว่าจะรวมพลังกัน
ในเมื่อเผ่าเมฆทมิฬในอบิสนั้นแปลกประหลาดเกินกว่าที่สิ่งมีชีวิตอื่นใดในอีกโลกจะสามารถต่อต้านได้
‘อ่า นี่มันยอดเยี่ยมไปเลย’
กัลคิม่าแสดงสีหน้าจองหองออกมาขณะที่เขามองไปยังสิ่งที่จะกลายเป็นอาหารของเขาในไม่ช้า
ภาพที่กำลังคนทั้งหมดในโลกได้รวมตัวกันและมาสู้กับเขา
ภาพที่ทุกคนหวาดกลัวเขาและต้องการจะขับไล่เขาออกไป
ความรู้สึกที่เขาไม่อาจรับรู้ได้ในอบิส
แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่ง มันก็ยังมีเผ่าพันธุ์แปลกประหลาดและโดดเด่นมากเกินไปในอบิส
‘ฮี่ฮี่ พวกมังกรกับขุนนางปีศาจมักจะอาศัยอยู่ด้วยความรู้สึกแบบนี้งั้นเหรอ? ฉันรู้สึกอิจฉาพวกนั้นจริงๆ’
กัลคิม่ามองไปยังชายที่ชื่อว่าฮันซูที่ยืนอยู่หน้าสุดของกองทัพ
‘ฉันต้องขอบคุณนายจริงๆ’
กัลคิม่าพึมพำอยู่ภายในใจ
ในเมื่อเขาจะไม่อาจรู้สึกเช่นนี้ได้หากอคารอนและมนุษย์ไม่ได้รวมตัวกันโดยมีอีกฝ่ายเป็นจุดศูนย์กลาง
การที่ทุกคนหวาดกลัวเขาและทำราวกับเขาเป็นฝันร้ายก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น
แต่แค่นี้มันยังไม่พอที่จะเติมเต็มความต้องการของเขา
การกินเจ้าพวกนั้นทั้งหมดทีล่ะคนในขณะที่พวกมันวิ่งหนีไปด้วยความหวาดกลัวโดยไร้ซึ่งการต่อต้าน?
นั่นมันจะเติมเต็มได้แค่ความต้องการในการควบคุมและอำนาจเท่านั้น
มันยังไม่สามารถเติมเต็มความต้องการอีกอย่างที่พวกที่อาศัยอยู่ในอบิสต้องมี
<ความสิ้นหวัง>
ความรู้สึกที่คนจะได้รับหลังจากที่บดขยี้ร่างกายและความดึงดันในการต่อต้านของคนคนหนึ่งลงและทำให้อีกฝ่ายจมลงสู่ความสิ้นหวัง
‘ฉันควรจะปนเปื้อนฮันซูด้วยวิธีพิเศษและดูแลเขาอย่างดี’
มันจะมีความสุขกว่ามากในการหักคอของความหวังเล็กๆ ที่หลงเหลืออยู่แทนที่จะเล่นกับพวกที่จมลงสู่ความสิ้นหวังแล้ว
กัลคิม่าหยุดคิดและลุกขึ้น
ก่อนจะพึมพำไปยังเอลคาเดียนที่ถูกมัดอยู่บนกำแพง
“จะยังไงก็เถอะ ฉันชอบของเล่นพวกนี้จริงๆ ฉันจะใช้มันอย่างดี”
กัลคิม่าหยุดพูดและมองไปยังอคาดัสสีทองที่กลายเป็นสีดำทั้งสิบ
‘แค่เจ้าพวกนี้น่าจะพอ’
ฟึ่บ!
วินาทีที่กัลคิม่าออกคำสั่ง อคาดัสทั้งสิบก็นำอคาดัสที่ตัวเล็กกว่าออกไปราวกับแม่ทัพและบินตรงไปยังพวกมนุษย์ด้วยความเร็วสูง
เอลคาเดียนแสดงสีหน้าเจ็บปวดเล็กๆ ออกมาเมื่อเห็นเช่นนั้น
‘ฮันซู… โปรดระวังด้วย เจ้าน่าจะสามารถเตรียมการทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์ถ้าเจ้ามีเวลามากกว่านี้อีกหน่อย’
เวลาที่เธอมอบให้ฮันซูไม่ใกล้เคียงคำว่าพอเลยแม้แต่น้อยในการสร้างบางอย่างที่จะจัดการกับเผ่าเมฆทมิฬด้วยตนเอง
เอลคาเดียนมองไปยังอคาดัสที่บินจากไปด้วยความสิ้นหวังในดวงตา
ตูมมม!
“พวกมันมาแล้ว! พวกมันมาแล้ว! เตรียมตัว!”
“ตั้งกระบวนทัพเร็วเข้า!”
ทุกคนเริ่มตะโกนออกไปอย่างเร่งรีบเมื่อพวกเขาเห็นอคาดัสบินตรงมา
อคาดัสจำนวนมหาศาลที่คนอาจจะมองผิดไปเป็นเมฆสีดำขนาดใหญ่
มิฮีแสดงสีหน้าซับซ้อนออกมาขณะที่เธอมองไปยังฮันซูและอคาดัสที่กำลังบินตรงมาขณะที่เธอกำลังจัดระเบียบคนของเธออยู่
‘ฉันคิดว่าสุดท้ายแล้วฉันจะมีกำลังมากพอที่จะยืนอยู่ข้างๆ เขา แต่…’
มิฮีพึมพำขณะที่มองไปยังฮันซู
เธอไม่ได้เอ่ยมันออกมา แต่ว่าเธอรู้สึกอิจฉาซังจินอย่างมากในตอนที่ซังจินได้ติดตามฮันซูขึ้นไป
ในเมื่อซังจินได้รับสิทธิที่จะยืนอยู่ข้างๆ ฮันซู
แต่แม้ว่าเธอจะอิจฉา แต่เธอก็ไม่ได้ล้ำเส้น
เธอยอมรับถึงขีดจำกัดของตัวเธอ ทำงานอย่างหนักและปีนขึ้นมาหลังจากที่รวมรวบคนแข็งแกร่งจำนวนมากได้ในทันทีที่ฮันซูเรียกเธอ
คิดว่าเธอจะสามารถช่วยเหลืออีกฝ่ายได้แล้วในตอนนี้
แต่เธอตระหนักได้ในทันทีที่เธอขึ้นมา
เขาเรียกเธอและคนอื่นๆ ขึ้นมาหลังจากที่เขาสร้างดินแดนที่ปลอดภัยขึ้นให้พวกเธออยู่แล้ว
และนี่คือสาเหตุให้เธอรู้สึกยินดีขึ้นมาเล็กน้อยตอนที่เหตุการณ์เมฆทมิฬเกิดขึ้นแม้ว่าจะรู้ตัวว่าเธอไม่ควรทำเช่นนั้น
ในเมื่อโอกาสที่จะช่วยเหลือได้มาถึงในที่สุด
แต่เธอรู้สึกว่าความมั่นใจของเธอกำลังพังทลายลงเมื่อเธอเห็นอคาดัสบินตรงมาหาพวกเธอ
‘… เราต้องสู้กับไอ้พวกนั้นงั้นเหรอ?’
มิฮีจ้องไปยังกองทัพอคาดัสที่กำลังบินมาจากห่างออกไป
ร่างกายที่เคยเป็นสีเงินได้ถูกปนเปื้อนโดยบางอย่างสีดำขณะที่มันเปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง
กรงเล็บของมันแหลมคมขึ้น และปีกที่เหมือนกับนางฟ้าก็ถูกย้อมเป็นสีดำเช่นกัน
ทว่าแน่นอนว่ามันไม่ได้ดูเหมือนปีศาจ
ในเมื่อปีกนางฟ้าที่กลายเป็นสีดำได้คล่องแคล่วปราดเปรียวและสวยงามขึ้นกว่าแต่ก่อน
มิฮีมองไปยังกองทัพอคาดัส กลืนน้ำลาย และเอ่ยถามฮันซู
“เราเองก็สามารถ… ทำบางอย่างได้เหมือนกันใช่ไหม?”
มิฮีมองไปยังนักผจญภัยที่เธอนำขึ้นมาจากด้านล่าง
นักผจญภัยที่ถือถุงสีฟ้าและหอกเอาไว้ในขณะที่มองไปยังเทพตกสวรรค์ที่กำลังเข้ามาใกล้พวกเขา
แม้ว่าพวกเขาจะค่อนข้างแข็งแกร่งขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ ศัตรูที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าก็เกินกำลังสำหรับลูกเจี้ยบที่เพิ่งโตไปหน่อย
พวกมันคือศัตรูที่แม้แต่พวกที่อยู่ในเขตสีส้มมาสักพักยังต้องใช้ทุกอย่างที่พวกเขามีในการรับมือ
มิฮีพลันนึกถึงความทรงจำและความรู้สึกที่เธอเคยลืมเลือนไป
ความทรงจำที่พวกเธอมาถึงยังบทฝึกซ้อมเป็นครั้งแรกและมีชีวิตรอดอย่างยากลำบากได้ด้วยการพึ่งพาฮันซูโดยที่ไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับสถานที่นั้นเลยแม้แต่น้อย
ความรู้สึกไร้กำลังที่เธอกำลังรู้สึกในตอนนั้น
‘มันน่าหงุดหงิดชะมัด ฉันคิดว่าในที่สุดฉันจะสามารถช่วยได้แล้วแท้ๆ’
มิฮีแสดงสีหน้าหดหู่ออกมาอย่างเงียบๆ
ฮันซูหัวเราะกับคำพูดของอีกฝ่าย
“มันไม่ใช่สิ่งที่จะถูกกำหนดด้วยพลัง ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับสิ่งที่พวกเธอทำ”
ความแข็งแกร่งไม่ใช่สิ่งที่จะตัดสินว่ากองทัพสามารถทำอะไรได้บ้าง
พลังของกองทัพมันบริสุทธ์ในตัวของมันเองและมั่นคงอย่างมาก คนสามารถเชื่อมั่นในมันได้จนถึงสุดท้าย
แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือ
‘คนที่จะสามารถแก้ไขทุกอย่างได้ด้วยพลังของกองทัพ… คือเทพแห่งสงคราม’
พวกเขาคือมนุษย์ ไม่ใช่เทพ
ดังนั้นแล้ว พวกเขาจึงทำได้เพียงพยายามให้ดีที่สุด
ฮันซูเอ่ยขึ้นกับมิฮี
“ฉันสามารถเตรียมการในการรับมือกับพวกมันได้ทันเพราะพวกเธอมาเร็วมาก ถ้าเราชนะ ทั้งหมดนี่ก็เป็นเพราะพวกเธอ”
กองกำลังของแอเรียลมาถึงเป็นลำดับที่สอง
จากนั้นจึงเป็นคนของกวานแจและเอนบิ อาริน
ทว่าคนที่มิฮีนำมาทำเพียงแค่รวมตัวกับเขาอย่างไร้คำอิดออดและช่วยเหลือเขา
และนี่คือผล
ฮันซูมองไปยังถุงสีฟ้าที่อยู่ในมือของเขา
ถุงเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยแมงมุมสีฟ้าตัวจ้อยที่มีขนาดราวๆ เล็บมือ
กี๊!
ในขณะที่ฮันซูและมิฮีกำลังคุยกัน เมฆสีดำขนาดยักษ์ที่รวมตัวกันจากอคาดัสก็ได้มาถึงเบื้องหน้ามนุษย์
และแอเรียลก็แสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวออกมาเมื่อเธอเห็นภาพนั้น
อคาดัสสีเงินยังพอรับมือได้ แต่อคาดัสสีทองมันเกินกว่าที่เธอคาดหมายเอาไว้
และดูเหมือนว่ามันยิ่งแข็งแกร่งและโหดเหี้ยมกว่าเดิมหลังจากที่ถูกปนเปื้อน
กระทั่งเธอก็คงจะตายถ้าเธอไปสู้กับหนึ่งในนั้น
“เฮ้! เฮ้! คังฮันซู! พวกมันมาแล้ว! นายต้องการจะให้พวกเราทำบ้าอะไรกับไอ้นี่!”
แอเรียลเขย่าถุงสีฟ้าที่ฮันซูแบ่งให้ทุกคนก่อนที่จะมาที่นี่และตะโกนออกไป
ฮันซูหัวเราะเมื่อเขาเห็นแอเรียลทำเช่นนั้น
‘เธอคิดยังไงถึงได้มาเข้าร่วมเนี่ยถ้าจะมีความเชื่อใจน้อยขนาดนี้’
แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น
ในเมื่อจะยังไงเธอก็มาอยู่ที่นี่
เขามีหน้าที่ในการลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อคนพวกนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในเมื่อพวกเขามาที่นี่และวางความเชื่อใจไว้ที่เขา
‘รอฉันก่อนเถอะ ฉันจะฆ่าแกเอง’
ฮันซูพึมพำด้วยสีหน้าเย็นชาขณะที่มองไปยังอาร์คลาทอรี่ที่มีคนจากเผ่าเมฆทมิฬอยู่ก่อนจะตะโกนขึ้นเสียงดัง
“ยิง!”
เสียงตะโกนนั้นดังก้องไปทั่วสนามรบ
ฟุ่บบบ!
ทุกคนต่างผูกถุงสีฟ้านั้นเอาไว้กับหอกหรือว่าใช้สกิลของพวกเขาเองในการโยนถุงนั้นออกไปทั่วสนามรบ
ถุงระเบิดออกกลางอากาศและอาบร่างของอคาดัสที่กลายเป็นสีดำสนิทจนกลายเป็นสีฟ้า
‘…4, 3, 2, 1’
หลังจากที่ฮันซูนับถอยหลังจากสิบขณะที่มองภาพนั้น
เขาก็ตะโกนขึ้นเสียงดังอีกครั้ง
“โจมตี!”
ตูมมมม!
กองทัพมนุษย์ที่ถอยออกไปก่อนหน้าพลันพุ่งออกไปยังกองทัพอคาดัสที่มาถึงยังเบื้องหน้าพวกเขาอย่างดุดัน
“เหี้ยอะไรเนี่ย! นี่มันบ้าอะไรกัน!”
กัลคิม่าตื่นตระหนกและกระเด้งตัวขึ้นจากที่นั่งขณะที่เขากำลังเล่นกับเอลคาเดียนและส่งเสียงผ่านจมูกออกมา
‘ไม่มีทาง ได้ยังไง!?’
ร่างแยกของเขาที่ควบคุมอคาดัส เมฆทมิฬ ได้ถูกกลืนกินอย่างต่อเนื่อง
จากแมงมุมสีฟ้าที่ถูกโยนขึ้นไปในอากาศ
กัลคิม่าแสดงสีหน้าที่มีแต่ความเหลือเชื่อ
‘เขารู้บางอย่างเกี่ยวกับฉัน? เขาสร้างไอ้ของแบบนั้นขึ้นได้ในระยะเวลาสั้นๆ แค่นั้นเนี่ยนะ?’
ตัวแมงมุมเป็นแค่แมงมุมธรรมดา
เว้นเสียแต่มันถูกดัดแปลงบางอย่าง
เขาไม่รู้ว่าพวกนั้นทำอะไรกับแมงมุม แต่แมงมุมนับแสนนั่นที่ถูกโยนไปบนอากาศกำลังกินเมฆทมิฬของเขา ที่กระทั่งเอลคาเดียนยังไม่อาจทำลายได้ราวกับว่ามันเป็นขนมหวาน
เอลคาเดียนที่มองสีหน้าหัวเสียของกัลคิม่าแสดงสีหน้าที่ใกล้เคียงกันออกมาและพึมพำกับตนเอง
การที่จะสร้างวิธีการรับมือขึ้นในเวลาสั้นๆ แค่นั้นจำเป็นต้องมีข้อมูลมหาศาลที่มากเกินกว่าความรู้ของเธอ
ในเมื่ออบิสมีข้อมูลที่มีประโยชน์และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเมื่อพวกเขายิ่งเข้าไปลึก
‘คังฮันซู… นี่เจ้าไปถึงชั้นไหนในอบิสกันแน่?’
เอลคาเดียนพึมพำด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
TL: อ่านแล้วหงุดหงิดเอลคาเดียนเบาๆ//เบะปาก