บทที่ 140: เมฆทมิฬ (1)
เอลคาเดียนขบฟันแน่นขณะที่มองไปยังชายที่กำลังพุ่งเข้ามาหาเธอ
‘… คนจากเผ่าเมฆทมิฬ’
ชายคนนั้นมองไปยังเอลคาเดียนที่กำลังโจมตีเขาแบบแลกด้วยชีวิตอย่างขบขัน
“นี่มันอะไรกัน? เธอดูเหมือนจะรู้อะไรเกี่ยวกับฉันอยู่บ้างนะ? เธอเป็นตัวอะไร?”
ร่างกายที่แท้จริงของเขาไม่ใช่ร่างเนื้อ ทว่าเป็นก้อนเมฆสีดำที่ลอยอยู่เหนือพื้น
ร่างกายจะฟื้นฟูอย่างรวดเร็วไม่ว่ามันจะถูกโจมตีมากแค่ไหนตราบเท่าที่การโจมตีนั้นไม่สร้างความเสียหายให้กับเมฆสีดำ
แต่อีกฝ่ายดูจะรู้เรื่องนี้ดีเมื่อเธอโจมตีก้อนเมฆสีดำที่ลอยอยู่เหนือร่างนี้อย่างบ้าคลั่ง
‘อืม แต่ถึงเธอจะรู้เกี่ยวกับมัน มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นอยู่ดี’
ตูมมมมม!
เพียงแค่เพราะมันไม่มีผลต่อร่างกายของเขาไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถเมินการโจมตีเหล่านั้นไปได้
ร่างกายของมนุษย์ที่ถูกเสริมพลังด้วยร่างที่แท้จริงของเผ่าเมฆทมิฬโจมตีเอลคาเดียน
แคร่กกก
กร๊อบบบบ
ดาบแก่นแท้มังกรที่ล้อมอยู่รอบร่างของเอลคาเดียนแตกสลายไปพร้อมกับที่ซี่โครงของเธอหัก
“อึกกกก!”
ตูมมมมม!
ร่างสูงห้าเมตรของทารูโฮลที่เอลคาเดียนกำลังควบคุมอยู่กระเด็นลอยห่างออกไปหลังจากที่ถูกโจมตีโดยหมัดของมนุษย์ที่ไม่แม้แต่จะสูงถึงสองเมตร
ชายคนนั้นมองเอลคาเดียนที่ร่างจมลึกอยู่ในกำแพงที่มุมหนึ่งของโรงงาน
“ทำไมเธอถึงได้ดื้อด้านขนาดนี้? เธอควรจะรู้นะว่าการขัดขืนต่อไปมันไร้ความหมายถ้าเธอรู้เกี่ยวกับฉัน”
เอลคาเดียนถ่มน้ำลายออกมาก่อนจะตะโกนเสียงดังเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“หุบปาก คนที่แข็งแกร่งกว่าข้ามากออกไปแล้ว ใครบางคนที่สามารถบดขยี้ไอ้ตัวแบบเจ้าได้”
“ฮี่ ข้าเคยเห็นเขาสู้กับเจ้าจนเสมอนี่”
มีหรือที่ใครบางคนที่อยู่ในระดับเดียวกับคนด้านหน้านี่จะสามารถเอาชนะเขาได้?
ตัวเลือกของคนที่หนีไปนั่นคือตัวเลือกที่ฉลาด
ในเมื่อเขาจะถูกฉีกกระชากไปพร้อมๆ กับเจ้าคนตรงหน้าเขาหากอีกฝ่ายยังอยู่
ชายคนนั้นแสยะยิ้มใส่เอลคาเดียน
‘แต่ยังไงก็เถอะ… มันยังค่อนข้างเป็นปัญหาอยู่นิดหน่อย’
พลังของเขาลดลงอย่างต่อเนื่องราวกับว่าอากาศของที่นี่ไม่ค่อยเหมาะกับเขา
แต่เขาสามารถเติมเต็มมันกลับมาได้
‘ไหนดูสิ… มันมีอาหารอยู่มากที่นี่ตามความทรงจำของเจ้ามนุษย์นี่’
มันไม่มีความจำเป็นให้ร่างต้นของเขาออกไปแม้แต่น้อย
บางอย่างลอยออกมาจากร่างหลักของเผ่าเมฆทมิฬ
มันแทรกผ่านเพดานและลอยสูงขึ้นไปอีก
‘อืม มันน่าจะพอสำหรับด้านบน ถึงเวลาเล่นกับไอ้ตัวที่อยู่ข้างหน้าแล้ว’
ใครบางคนที่รู้จักตัวเขาที่อาศัยอยู่ในอบิส
แน่นอนว่ามันต้องสนุกมากแน่ๆ ในการเล่นกับอีกฝ่าย
ชายคนนั้นที่ส่งก้อนเมฆเล็กๆ จำนวนมากขึ้นไปด้านบนควบคุมร่างกายที่เขายึดมาและเริ่มโจมตีเอลคาเดียน
กวานแจมองไปยัง <เครื่องมือคานอำนาจ> ที่อยู่ห่างออกไปและแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมา
“การเตรียมการเป็นไปได้ด้วยดี… จะยังไงก็เถอะ การหาประตูมิติเจอเป็นสิ่งที่สร้างขวัญกำลังใจได้อย่างมากจริงๆ”
กวานแจผงกศีรษะ
ในเมื่อเขารู้สึกสบายใจกว่าเดิมหลังจากที่หาประตูมิติพบ
แม้ว่าเขาจะไม่มีความคิดในการขึ้นไป คนจำนวนค่อนข้างมากรู้สึกกระวนกระวายกับการที่ไม่มีทางหนีทีไล่
ในเมื่ออคาดัสและอคารอนสามารถโจมตีพวกเขาได้ตลอดเวลา
พวกเขาไม่ได้โง่
พวกเขาล้วนรู้ดีว่าพันธมิตรในยามนี้มันไม่มั่นคงมากแค่ไหน
‘นี่เป็นสาเหตุให้… เราต้องสร้างเครื่องมือคานอำนาจให้เสร็จเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้’
ความจริงแล้ว เครื่องมือคานอำนาจไม่ได้ยากลำบากขนาดนั้น
มันคือบางอย่างที่เขาเคยทำในอดีต
แกรปไฟต์จำนวนมหาศาล
พวกเขา มนุษย์ สามารถหลบหนีผ่านประตูมิติไปได้ แต่พวกอคารอนทำไม่ได้
ซึ่งหมายความว่า มันสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือข่มขู่ได้
<ถ้าพวกแกโจมตีเรา งั้นเราก็คงจะไม่ยอมตายไปเฉยๆ แบบนั้น เราจะเทแกรปไฟต์ทั้งหมดลงไปในอวัยวะหลักทั่วร่างของลาร์ซาร์>
แม้ว่าพวกเขาจะรวบรวมมาไม่ได้เยอะขนาดนั้น แต่มันยังผ่านไปไม่นานหลังจากที่ลาร์ซาร์ตื่นขึ้นมา
มันจะมีประสิทธิภาพอย่างมากในเมื่อมันยังมีของเหลวร่างกายไม่มากนัก
‘ถึงมันจะดีกว่าถ้าเราไม่ต้องใช้มัน… เราก็ต้องพิจารณาถึงสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดเอาไว้ด้วย’
ในตอนนั้นเอง
ตูมมมมม!
ระเบิดครั้งใหญ่ได้ดังขึ้นห่างออกไป
“อะไรกัน? เกิดอะไรขึ้น?”
‘พวกมันโจมตีแล้วเหรอ?’
กวานแจผวาไปและมองออกไปด้านนอก
เหมือนกับเด็กที่ถูกจับได้ระหว่างกระทำความผิด
สีหน้าของกวานแจหม่นหมองลงหลังจากที่ออกมาจากฐานหลักและมองไปยังบริเวณของกิลด์ยูนิตี้
ตูมมมมม!
“ว๊ากกกกก!”
“นี่นายบ้าไปแล้วเหรอ? นายทำแบบนี้เพื่ออะไร!”
เสียงตะโกนจำนวนมากและเสียงระเบิดดังขึ้นจากรอบๆ
‘ไอ้พวกอคารอนเวรนั่น… พวกมันโจมตีก่อนงั้นเหรอ?’
กวานแจกัดฟันกรอดขณะที่เขามองไปยังอคาดัสที่กำลังโจมตีมนุษย์
‘โอ้พระเจ้า นี่มันบ้าอะไรกัน…’
กวานแจตะลึงไปอีกครั้ง
‘… ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกอคารอนนั่นก็กำลังถูกโจมตีเหมือนกัน’
เรื่องแบบนั้นไม่ควรจะเกิดขึ้นถ้าอคารอนทรยศพวกเขา
และเมื่อมองดูดีๆ แล้ว อคาดัสเองก็ดูไม่ปกติเช่นกัน
กวานแจรู้โดยสัญชาตญาณว่ามีบางอย่างผิดปกติหลังจากที่เห็นดินแดนของอคารอนกำลังลุกท่วมด้วยเปลวเพลิง
ในตอนนั้นเองที่พิราบสื่อสารตัวหนึ่งบินมาหากวานแจ
‘ฮันซู?’
เขาคงจะรู้บางอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์นี้หากเขาไปเจอฮันซู
กวานแจขบฟันแน่นและรีบมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่พิราบสื่อสารนั้นบินมา
“พวกนายอยู่ที่นี่กันครบแล้ว”
“เวรเอ้ย เกิดบ้าอะไรขึ้น?”
กวานแจหอบหายใจขณะที่เขามองไปยังฮันซูที่อยู่ด้านหน้าเขา
เขารีบวิ่งมาที่นี่ขนาดนั้น
อดีตหัวหน้ากิลด์อย่างเอนบิ อาริน และแอเรียล โอเทออนและเสาหลักทั้งสี่ต่างรวมตัวกันเบื้องหน้าเขา
คนสามารถบอกได้ว่าตัวแทนทั้งหมดของมนุษย์และอคารอนได้รวมตัวกันมากถึงขนาดนี้
ฮันซูเริ่มอธิบายเมื่อทุกคนมารวมตัวกันแล้ว
ว่าเกิดอะไรขึ้น
“คนจากเผ่าเมฆทมิฬมาที่นี่ผ่านเครื่องเคลื่อนย้ายวิญญาณ”
สมาชิกของเผ่าเมฆทมิฬ
มันไม่สนใจว่าเป้าหมายของมันมีร่างกายหรือไม่ มันแค่จะปนเปื้อนเป้าหมายด้วยเมฆสีดำและควบคุมสิ่งนั้น
มันจะดูดกลืนพลังงานจากสิ่งที่มันปนเปื้อนและเพิ่มพลังขึ้น
เผ่าเมฆทมิฬเป็นเผ่าพันธุ์ที่อำมหิตที่กระทั่งเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังในอบิสยังหลีกเลี่ยง
“บ้าเอ้ย… นั่นคือสาเหตุที่ทำให้อคาดัสกลายเป็นแบบนั้นสินะ”
กวานแจสบถออกมาเมื่อเขาเห็นอคาดัสที่กลายเป็นสีดำในระหว่างทางมายังที่นี่
เอนบิ อารินฟังอยู่เงียบๆ จนถึงตอนนี้ ทว่าจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น
“แล้วมนุษย์ล่ะ? มันปนเปื้อนมนุษย์ได้ไหม?”
ฮันซูส่ายศีรษะ
“มันจะไม่ยุ่งกับพวกสิ่งมีชีวิตในเมื่อส่วนมากมันจะมีสัญชาตญาณต่อต้านที่ทรงพลัง นอกจากนั้นมันยังมาถึงที่นี่ได้ไม่นาน”
ทว่าความเป็นไปได้นั่นไม่ได้อยู่ห่างไกลสักเท่าไหร่
ถึงตอนนี้มันจะอ่อนแอเกินไปที่จะกลืนกินสิ่งมีชีวิต แต่เมื่อมันมีพลังเพิ่มมากขึ้นจากการกินอคาดัสด้วยความเร็วระดับนี้ ไม่ช้าก็เร็วอคารอนและมนุษย์เองก็จะถูกปนเปื้อนโดยมันเช่นกัน
แล้วทุกอย่างจะจบสิ้นลง
“เราต้องจัดการร่างหลักก่อนที่มันจะเกิดขึ้น”
“… นายกำลังบอกว่าเราต้องทะลวงผ่านไอ้ตัวตรงนั้นไปเหรอ?”
กวานแจมองไปยังอาร์คลาทอรี่ที่เต็มไปด้วยอคาดัส
มันค่อยๆ ปนเปื้อนอคาดัสไปทีล่ะตัวอย่างไร้ซึ่งความรีบร้อนและกำลังรวบรวมพวกมันเอาไว้รอบอาร์คลาทอรี่
โชคดีที่เพราะปัญหาภายในของเผ่ามนุษย์ อคารอนและอคาดัสจึงมีจำนวนลดลง แต่ทุกคนรู้อยู่แล้ว
ว่าหากมันยังเป็นแบบนี้ต่อไป สถานการณ์ก็มีแต่จะแย่ลง
อาร์คลาทอรี่ตกอยู่ในกำมือของมันแล้ว และมันก็มีเพียงแต่จะแข็งแกร่งขึ้นทุกนาทีด้วยการปนเปื้อนและดูดกลืนพลังงานจากอคาดัสที่ออกมาจากมัน
เอนบิ อารินถอนหายใจขณะที่เธอพึมพำ
“… เวรเอ้ย ทำไมจู่ๆ ถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น? ไอ้เวรนั่นมาจากที่…”
โอเทออนพลันเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา
“มันคือความผิดพลาดของเรา”
โอเทออนเล่าเรื่องทั้งหมด
เอนบิ อารินถ่มน้ำลายออกมาด้วยสีหน้าอึ้งๆ หลังจากที่ได้ยินเรื่องราว
“เหี้ยอะไรเนี่ย… ไม่ใช่ว่าเอลคาเดียนคือผู้นำของพวกเธอรึไง?”
“ใช่ เธอเป็น”
“แล้วเราก็ต้องมาเก็บกวาดขี้ให้ยายนั่นเนี่ยนะ? โดยที่เอาชีวิตของเราไปเสี่ยง?”
เอนบิ อารินสบถอกมา
โอเทออนไม่อาจพูดอะไรได้
ในเมื่อสถานการณ์ในตอนนี้มันงี่เง่ามากในสายตาของเธอเช่นกัน
กวานแจแสดงสีหน้าหดหู่ออกมาก่อนจะเอ่ยถามฮันซู
“ฮันซู นายคงจะฝ่าพวกมันไปสินะ?”
ฮันซูผงกศีรษะ
สีหน้าย่ำแย่ของกวานแจเลวร้ายลง
‘ถ้าเรายังหาประตูมิติไม่เจอ… และไม่ได้เตรียมเครื่องมือคานอำนาจเอาไว้’
กวานแจถอนหายใจและเอ่ยออกมา
เกี่ยวกับประตูมิติและเครื่องมือคานอำนาจที่เขาสร้างขึ้น
และเสริมบางอย่างเข้าไปหลังจากเอ่ยจบ
“พวกมนุษย์อย่างเราสามารถหนีผ่านประตูมิติไปได้ คนสุดท้ายสามารถทำให้กรากอซพลิกตัวด้วยเครื่องมือคานอำนาจที่พวกเราเตรียมไว้ได้”
“โอ้ใช่ ไม่เลวเลย”
ไอเลนแสดงสีหน้าประทับใจออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เมื่อไหร่กันที่เขาเตรียมของแบบนั้นเอาไว้?
กวานแจมองไปยังไอเลนอย่างสงสารก่อนจะเอ่ยต่อ
“ซึ่งหมายความว่ามันจะไม่มีความเสียหายใดๆ เกิดขึ้นกับมนุษย์แม้ว่าพวกเราจะไม่เข้าร่วมในการต่อสู้นี้ มันไม่มีเหตุผลให้พวกที่มาหลังจากนี้ตายเหมือนกัน”
ฮันซูผงกศีรษะ
ในเมื่อคำพูดเหล่านั้นถูกต้องอย่างมาก
แต่เขาไม่อาจยอมแพ้ไปทั้งๆ แบบนี้ได้
เขาไม่ได้กลับมาเพื่อที่จะหนีไปแบบนี้ เขากลับมาเพื่อที่จะช่วยเหลือมนุษย์ และช่วยเหลือโลก
“งั้นพวกอคารอนก็จะตายกันหมด การผ่าตัดดัดแปลงร่างกายเองก็จะหายไปเหมือนกัน”
เขาไม่ได้กลับมาเพื่อที่จะเอาตัวรอด
เขาไม่อาจยอมปล่อยมรดกของเขตสีส้มไปไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
กวานแจมองไปยังฮันซูด้วยสีหน้าที่เลวร้ายกว่าเดิมมาก
ก่อนจะเอ่ยถามเผื่อเอาไว้
“เราจะได้อะไรจากการยื่นมือไปช่วยในสถานการณ์นี้”
“ไม่มี”
“นี่มันเลวร้ายชะมัด”
กวานแจถอนหายใจอย่างหดหู่
มันไม่มีเหตุผลให้พวกเขาช่วยแม้ว่าพวกเขาจะอยากทำ
พวกเขาไม่ใช่พระเจ้า พวกเขาเป็นแค่อดีตผู้นำกิลด์เท่านั้น
พวกเขาจะสามารถนำผู้คนและส่งพวกเขาไปในโรงงานตรงนั้นที่เต็มไปด้วยอคาดัสได้อย่างไร
โอเทออนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหม่นหมอง
“อย่ากังวลเลย เราไม่ได้เรียกพวกเจ้ามาเพื่อเรื่องนั้น เราแค่เรียกพวกเจ้ามาเพื่อที่พวกเราจะได้บอกเรื่องราวทั้งหมดนี้ให้ฟัง”
“อะไรนะ?”
“เราจะแก้ไขมัน ดังนั้น… พวกเจ้าก็สามารถทำเพียงเฝ้ามองและหนีไปจากที่นี่ถ้ามีอะไรผิดพลาด”
“อะไรนะ? เอจะทำยังไง?”
จากนั้นฮันซูจึงนำบางอย่างออกมาจากกระเป๋าของเขาและยกมันขึ้น
หนึ่งในศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เขานำมาจากฮิสทอรานในระหว่างออกมา
โอเทออนมองไปยังของสิ่งนั้นด้วยสีหน้าที่หนักอึ้ง
<ของเหลวจักรพรรดิคลั่ง>
ของเหลวที่จะทำให้คนที่ได้รับมันมีพลังราวกับจักรพรรดิที่บ้าคลั่ง
กลิ่นที่ทำให้เข้าสู่สภาวะบ้าคลั่งก่อนหน้าทำให้คนสามารถได้รับพลังมหาศาลพร้อมด้วยผลข้างเคียงที่รุนแรง
แต่สิ่งนี้มันเหนือไปกว่านั้น
ของเหลวในร่างทั้งหมดจะเริ่มเดือดพล่านและระเบิดออกในทันทีที่มันถูกใช้
ความตายคือสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
ของเหลวที่มีเพียงแค่บาทหลวงที่สามารถใช้ได้ และไม่มีผู้อื่นใดอีก
“แน่นอนว่าสิ่งนี้จะมอบพลังมหาศาลให้ เรากำลังวางแผนจะใช้มัน”
พวกเขาจะออกไปและทะลวงผ่านอคาดัส
จากนั้นฮันซูที่เตรียมการหลายอย่างเอาไว้เพื่อโจมตีจุดอ่อนของเผ่าเมฆทมิฬจะเข้าไปด้านในและจัดการกับร่างจริงของมัน
นี่คือแผนการในยามนี้
“… เธอจะทำขนาดนี้เลยเหรอ? พวกเธอจะตายกันหมดนะ”
โอเทออนหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดของกวานแจ
“อย่างที่เจ้าพูดก่อนหน้า ทั้งหมดนี่คือความรับผิดชอบของท่านผู้นำเอลคาเดียน บางอย่างที่เธอไม่อาจแบกรับไว้ได้ด้วยตนเอง”
หลายคนตายไปแล้ว
มีหรือที่เอลคาเดียนจะสามารถแบกรับทั้งหมดนั่นเอาไว้ได้ด้วยตนเอง
โอเทออนเอ่ยต่อ
“แต่มันคือสิ่งที่ผู้นำของพวกเราทำเพื่อพวกเรา แล้วพวกเราจะไม่มีส่วนรับผิดชอบในเรื่องนี้ได้ยังไง? พวกเราวางแผนจะแบ่งเบาภาระของเธอและแบกรับมันเพื่อเธอ”
“… โอเค พวกนั้นไปเพราะเหตุผลนั้น แต่ทำไมนายจะต้องไปด้วยเนี่ย?”
ฮันซูหัวเราะกับคำพูดของแอเรียล
“อย่ากังวลเลย ฉันไม่ได้ทำงานฟรีๆ เธอก็เห็นว่าเอลคาเดียนบอกฉันว่าเธอจะมอบดาบแก่นแท้มังกรให้ฉันแต่ยายนั่นก็ไม่ได้ให้ ฉันจะไปเอามันคืน”
“นี่มันไร้สาระฉิบหาย…”
แอเรียลมองไปยังฮันซูที่พูดมั่วซั่วด้วยสีหน้าอึ้งๆ
คนในระดับเขาสามารถหาอาร์ติแฟคในระดับราวๆ นั้นที่ข้างบนได้มหาศาล
แต่เขากำลังจะเข้าไปในนั้นเพียงแค่เพื่อที่จะรักษาการผ่าตัดดัดแปลงร่างกายเอาไว้
เอนบิ อารินและหัวหน้ากิลด์คนอื่นๆ มองไปยังฮันซูและอคารอนที่หันหลังกลับไปหลังจากที่เตรียมการเสร็จสิ้น
อืม ถ้าจะพูดให้แม่นยำไปกว่านั้นคือพวกเขากำลังมองไปยังแผ่นหลังของฮันซู
ในหัวของหมอนี่มีบ้าอะไรอยู่กัน?
ตอนแรกพวกเขาคิดว่าหมอนี่บ้าการต่อสู้ และจากนั้นจึงเริ่มคิดว่าอีกฝ่ายกำลังปกปิดบางอย่างเอาไว้ แต่ตอนนี้พวกเขารู้แล้ว ไม่สิ พวกเขาสามารถสัมผัสมันได้แล้ว ทุกการกระทำของฮันซูล้วนทำไปเพื่อพวกเขา เผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาเอาชีวิตไปแขวนไว้บนเส้นด้ายเพื่อพวกเขา ความรู้สึกมหาศาลพุ่งพล่านจากภายในร่างของพวกเขา
‘ฉิบหายเอ้ย!’
เอนบิ อารินและผู้นำกิลด์คนอื่นๆ ขบฟันแน่น
ไอ้ความรู้สึกที่กำลังเอ่อล้นออกมาจากส่วนลึกในทรวงอกของพวกเขาขณะที่มองไปยังแผ่นหลังของคนอื่นมันคือบ้าอะไร
ทำไมแผ่นหลังของเจ้าหมอนั่นถึงได้ดูกว้างใหญ่ขนาดนั้น ทำไมทุกอณูร่างของพวกเขาถึงสั่นสะท้าน?
‘ไม่เอาน่า นี่นายคือตัวบ้าอะไร?’
‘นี่นายเป็นผู้ช่วยเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์หรืออะไรแบบนั้นรึไง?’
พวกเขาล้วนพึมพำเป็นคำพูดเดียวกัน
<ฉันคงบังคับเรื่องนี้กับพวกนายไม่ได้ มันมีหลายอย่างที่ฉันจะได้รับ แต่มันไม่มีอะไรเลยที่ฉันจะสามารถมอบให้พวกนายได้ ฉันไม่อาจขอให้พวกนายเอาชีวิตมาเสี่ยงได้เหมือนกัน ฉันหวังว่าพวกนายจะสามารถรับมือกับผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดได้>
“หืมมม ไม่มีอะไร… ให้พวกเรา”
เอนบิ อารินจ้องไปยังฮันซูและอคารอนที่กำลังพุ่งตรงไปยังโรงงานที่อยู่ห่างออกไป
ในเมื่อเขาเอ่ยคำพูดเหล่านั้นออกมาอย่างมั่นใจขนาดนั้น เขาต้องทำได้สำเร็จแน่ๆ
ในเมื่อเจ้าพวกนั้นบอกว่าจะใช้ของเหลวจักรพรรดิคลั่ง
‘พวกนั้นจะตายกันหมดแหงๆ งั้นไม่ใช่ว่าจะเหลือหมอนั่นรอดอยู่คนเดียวเหรอ? นี่ให้ความรู้สึกไม่ถูกต้องเท่าไหร่’
เธอไม่ได้รู้สึกแบบนี้เพราะอคารอน
มันเป็นเพราะฮันซู
เจ้าคนแปลกประหลาดที่ทำงานแม้ว่ามันจะไม่มีอะไรที่เป็นปะโยชน์ต่อเขา เขาไม่ได้คาดหวังรางวัลหรือของตอบแทนใดๆ เช่นกัน เธอไม่อาจเชื่อเรื่องนี้ได้ในตอนแรก แต่ตอนนี้เธอเชื่อแล้ว ในเมื่อเขากำลังแสดงมันออกมาอย่างชัดเจน
เอนบิ อาริน
ใครบางคนที่ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้โดยที่มีบุญคุณที่ยังไม่ได้ตอบแทน
‘ไหนดูสิ หมอนี่ช่วยชีวิตฉันไว้… หนึ่งครั้ง? หรือว่าสองครั้ง?’
ครั้งแรกตอนที่เธอเกือบถูกทิราดัสฆ่า
อีกครั้งตอนที่เขาหยุดการต่อสู้ระหว่างกรากอซ
‘อืม เขาก็ไม่ได้ช่วยแค่ฉัน’
เอนบิ อารินตัดสินใจจะหยุดนับ
ในเมื่อเธอคงจะไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปหากไม่มีฮันซู ขณะที่ความคิดของเธอถูกจัดระเบียบ เธอก็ตระหนักได้ว่าเธอไม่อาจอยู่เฉยๆ ได้ เธอรู้สึกว่าเธอไม่อาจทำแค่ยืนนิ่งๆ ได้
เอนบิ อารินมองไปยังกวานแจและเอ่ยขึ้น
“นายส่งพิราบสื่อสารทั้งหมดออกไปรึยัง?”
กวานแจผงกศีรษะ
เอนบิ อารินเอ่ยถามกวานแจ
“และนายจะไปทั้งๆ แบบนี้?”
กวานแจหัวเราะ
“อืม ฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่าฉันติดค้างหนี้ชีวิตเขา เอาตรงๆ คือเขาแค่ทำสิ่งที่เขาต้องทำ เขาไม่ได้ทำเรื่องพวกนั้นเพื่อช่วยฉัน เธอก็เห็น”
“…”
เอนบิ อารินมองไปยังกวานแจด้วยสีหน้าเคลือบแคลง
“แล้วทำไมนายต้องเตรียมความพร้อมขนาดนั้นถ้านายจะไม่ไป?”
กวานแจหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“เธอก็รู้ ภรรยาฉันติดหนี้ชีวิตเขา นั่นคือปัญหา”
จากนั้นกวานแจจึงส่งพิราบสื่อสารตัวสุดท้ายออกไปในท้องฟ้า
<พวกที่ติดค้างฮันซู มารวมตัวกัน>
พวกเขาไม่รู้ตัว
ว่าฮันซูได้เริ่มกลายเป็นเสาหลักที่คอยค้ำจุนพวกเขาภายในใจอย่างช้าๆ
สมาชิกของเผ่าเมฆทมิฬหัวเราะอย่างพึงพอใจ
‘มันกำลังเป็นไปได้สวย’
เขาอ่านสถานการณ์ในตอนนี้ผ่านความทรงจำของคนคนนี้
ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และอคารอนไม่ได้ดีขนาดนั้น และเรียกได้ว่าหวาดระแวงกันและกัน
‘ค่อนข้างเป็นอะไรที่กระจอก’
มีหรือที่พวกเขาจะชนะได้ในเมื่อแม้แต่รวมพลังกันอาจจะยังไม่พอ?
และมันจะยิ่งดีถ้ามนุษย์พยายามจะหนีไป
‘ฉันหาตำแหน่งของประตูมิติเจอแล้ว’
จัดการศัตรูทีล่ะคน
มันคือวิธีการที่เขาชื่นชอบที่สุด
ถ้าพวกนั้นหนีไปในระหว่างที่เขากำลังเพิ่มพลัง งั้นเขาก็สามารถแทรกเข้าไปในตรงกลางและกลืนกินพวกที่เหลือได้
และเขายังสามารถไล่ตามพวกนั้นไปและค่อยกินพวกที่เหลือทีหลัง
ชายคนนั้นหยุดคิดและมองไปยังเอลคาเดียนที่ร่างกายยับเยินเป็นผ้าขี้ริ้วก่อนจะหัวเราะ
“ทำไมเธอไม่หนีไปล่ะ? ไม่ใช่ว่าพลังของเธอค่อนข้างใกล้เคียงกับหมอนั่นเหรอ? มันไม่ได้สำคัญนักหรอกไม่ว่าจะเป็นคนไหนที่หนีไป”
เขาจงใจไม่จับคนที่หนีไป
แม้ว่าเขาจะสามารถทำได้
เพราะว่าเขาต้องการเห็นคนตรงหน้าเขาตกลงสู่ความสิ้นหวังหลังจากตระหนักได้ว่าเธอเสียสละอย่างสูญเปล่า
ในเมื่อสิ่งที่น่าขบขันที่สุดในโลกคือการบดขยี้ความหวังสุดท้ายอันน้อยนิดที่หลงเหลืออยู่
เอลคาเดียนหัวเราะและเอ่ยตอบ
“นั่นเป็นเพราะข้ามีหนี้ที่ต้องชดใช้… และฮันซูน่ะตรงกันข้ามเลย ความแตกต่างระหว่างพวกเรามันชัดเจนมาก”
“…?”
ในตอนนั้นเอง
บางอย่างได้ดึงดูดสายตาของอคาดัสที่เขากำลังควบคุมอยู่
ชายคนนั้นยืนยันว่ามันคืออะไรก่อนจะขมวดคิ้ว
“ไอ้ฉิบหาย…”
เอลคาเดียนพึมพำอยู่ในใจขณะที่มองไปยังอีกฝ่าย
‘แกควรจะจับฮันซูให้ได้ไม่ว่ายังไงก็ตาม ถึงแม้ว่าแกจะต้องเมินฉัน’
ในเมื่อพลังไม่ใช่ทุกอย่าง
สิ่งที่สำคัญคือแรงดึงดูดของอำนาจของคนคนหนึ่ง
‘ดูเหมือนว่าเขาจะทำงานหนักมากจริงๆ’
เอลคาเดียนพึมพำขณะที่เธอมองไปยังชายที่กำลังหัวเสียและกองทัพขนาดยักษ์ที่พุ่งเข้ามาหาพวกเธอจากห่างออกไป
TL: แงงง ปู่วววว//ชูป้ายไฟรัวๆ