บทที่ 140 หัวขโมยดวงซวย
เย่เฟิงอยากรู้จริงๆว่าของมีค่าในบ้านของเขาที่โจรต้องการมันคืออะไร? และคำตอบมีเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ทักษะวรยุทธ์ของตระกูลเย่และตำราหายาก
อาจเป็นเพราะซูเหมิงหานเหน็ดเหนื่อยมาก เด็กสาวจึงหลับไปแลัวตอนนี้ เย่เฟิงที่รู้สึกได้ถึงหัวขโมยจึงลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้า ก่อนจะใช้ทักษะล่องหนก้าวออกไปห้องนอนไปอย่างเงียบเชียบ
หัวขโมยคนนั้นสวมชุดกลางคืนและดูเหมือนเขาจะสามารถปีนป่ายท่อน้ำได้อย่างคล่องแคล่ว ร่างของหัวขโมยขึ้นมาถึงระเบียงชั้นสองของบ้านโดยไร้สุ่มเสียง
น่าเสียดายสำหรับหัวขโมยคนนี้ที่ต้องมาเจอกับเย่เฟิงผู้มีทักษะสัมผัสวิญญาณ ฉะนั้น ไม่ว่าจะมีความเชี่ยวชาญในการแฝงตัวแค่นั้น มันก็ไม่อาจหลุดรอดไปจากการรับรู้ของเย่เฟิงได้
เย่เฟิงในสภาพล่องหนเดินเข้าไปหาหัวขโมยอย่างช้าๆ แสงสลัวจากดวงจันทร์ทำให้ชายหนุ่มพบว่าหัวขโมยคนนี้มีร่างค่อนข้างผอมและสวมฮูดไว้ หลังจากมองไปรอบๆและไม่พบอันตรายใดๆ หัวขโมยจึงเริ่มลงมือทันที
ความรวดเร็วของหัวขโมยคนนี้น่าทึ่งมาก เพียงแค่ชั่วพริบตา มันก็มาถึงหน้าของน้ำชั้นสองของบ้าน และหลังจากมองไปรอบๆชั่วครู่ หัวขโมยจึงล้วงเอาอุปกรณ์ที่ใส่ไว้ในเอวออกมา หมายจะงัดแงะแล้วเปิดประตูเข้าไป
‘ที่ซ่อนอยู่ในห้องน้ำห้องนี้ก็คือทักษะวรยุทธ์ตระกูลเย่ เป็นไปตามที่เราคิดไว้ เป้าหมายของเจ้าหมอนี่คือตำราวรยุทธ์ตระกูลเย่’
เย่เฟิงคิดอยู่ในใจ ก่อนจะเตรียมตัวลงมือ
ด้วยวรยุทธ์ระดับ 10 ปีของเขา การรับมือกับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปที่มีวรยุทธ์ระดับ 10 ปีเช่นกันเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง แต่เขายังไม่ต้องการสังหารมันเร็วนัก อย่างน้อยก็ควรล้วงคอถามสาเหตุที่มันมาเยี่ยมเยือนบ้านของเขาเสียก่อน
‘หรือจะมัดมันไว้แล้วค่อยให้ปู่มาจัดการดี? งั้นเอาตามนี้ก็แล้วกัน’
ขณะที่หัวขโมยกำลังพยายามงัดแงะเพื่อเปิดประตู เย่เฟิงก็ใช้เท้าฟาดเข้าใส่
แกร๊ก!
เท้าของชายหนุ่มเตะเข้าใส่หัวเข่าของหัวขโมยอย่างแรงจนขามันหักและคุกเข่าลงกับพื้น
“แกเป็นใคร!”
หัวขโมยมองไปรอบๆด้วยความตื่นตกใจ พร้อมๆกับเสียงของผู้ชายที่ดังก้องขึ้นมา
หัวขโมยคิดอยู่ในใจว่ามีคนพบตัวเขาได้อย่างไร? นอกจากนี้ คนๆนั้นยังลอบจู่โจมเข้ามาด้วย หรือว่าเย่เวิ่นเทียนจะกลับมาแล้ว? เป็นไปไม่ได้! ชายชราคนนั้นไม่ได้อยู่ในเมืองเหยียนจิงตอนนี้ไม่ใช่หรือไง?
หัวขโมยพยายามข่มความเจ็บปวด ขณะหันหน้ามาเห็นชายสวมหน้ากากกำลังจ้องมองมาด้วยแววตาเอาเรื่อง
บ้าเอ้ย! เจ้านี่มันเป็นใครกันว่ะ ไม่ใช่ว่ามีแต่นักเรียนม.ปลายอยู่ในบ้านหลังนี้รึไง?
หัวขโมยไม่อยากจะคิดอะไรมากในตอนนี้ มันขวางอุปกรณ์งัดแงะในมือเข้าใส่เย่เฟิง ก่อนจะใช้ขาอีกข้างกระโดดไปยังระเบียง หมายจะหลบหนีออกไปจากที่นี่
น่าเสียดายที่การเคลื่อนไหวของเย่เฟิงรวดเร็วยิ่งกว่า เขาปัดอุปกรณ์ชิ้นนั้นออกไปอย่างง่ายดาย ก่อนจะปลดปล่อยทักษะกรงเล็บมังกร เข้าใส่หัวขโมยที่กำลังจะโดดออกไปจากระเบียง
ด้วยวรยุทธ์ระดับ 10 ปีที่มีอยู่ การใช้ทักษะกรงเล็บมังกรไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาอีกต่อไป เจินชี่ที่มีกระจายไปทั่วร่างและก่อตัวขึ้นเป็นกรงเล็บมังกรสองข้าง เย่เฟิงคว้าร่างของหัวขโมยที่อยู่กลางอากาศก่อนจะดึงกลับเข้ามาในระเบียงอย่างแรง
ปัง!
ร่างของหัวขโมยร่วงลงระเบียงอย่างแรงจนแทบจะหมดสติ ใจของมันยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
‘ทักษะกรงเล็บมังกรขั้นสอง! ชายคนนี้ถึงกับใช้ทักษะขั้นสองได้เหมือนเย่เวิ่นเทียน!’
“หึ มันน่ากลัวใช่ไหมล่ะ? งั้นก็สารภาพมาได้แล้วว่าแกเป็นใคร และใครเป็นคนส่งแกมา บางทีฉันอาจจะยอมปล่อยแกไปก็ได้”
เย่เฟิงยืนพิงระเบียง ขณะเอ่ยถามออกไป
“ไม่มีใครส่งฉันมา ฉันก็แค่อยากได้เงิน……
หัวขโมยพลันตอบอย่างรวดเร็ว
“อย่ามาโกหก! ถ้าต้องการเงิน แกจะมาที่นี่ทำไม?”
เย่เฟิงจ้องเขม็ง ชายหนุ่มใช้ทักษะกรงเล็บมังกรโยนร่างหัวขโมยขึ้นบนอากาศ หลังจากร่วงลงมาเกือบ 10 เมตร เย่เฟิงจึงดึงร่างของหัวขโมยกลับเข้ามาในระเบียงอีกครั้ง
ปัง!
หัวขโมยถูกโยนลงบนระเบียงอย่างแรงอีกครั้งจนน้ำลายฟูมปาก การถูกโยนแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการเล่นบันจี้จั้มพ์ซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ
“ฉ..ฉันยอมแล้ว ฉันเห็นในลิสของพวกเจียงหูว่าพวกเขาอยากได้ทักษะกรงเล็บมังกรของตระกูลเย่ในบ้านหลังนี้ นอกจากนี้ยังมีทักษะร่ายมนต์ และทักษะกระบี่มารดาเร้นลับที่เป็นตำราหายากด้วย…..”
คำสารภาพของหัวขโมยยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่
“อะไรคือลิสของพวกเจียงหู?”
เย่เฟิงเอ่ยถาม
“พวกเจียงหูจะส่งลิสความต้องการของพวกเขาออกมาบ่อยๆ ถ้าผู้ฝึกวรยุทธ์คนไหนสามารถทำงานนั้นได้สำเร็จ พวกเขาก็จะได้รางวัลตามที่กำหนดไว้……”
หัวขโมยกล่าวออกมาด้วยแววตาสิ้นหวัง
“แล้วทำไมแกถึงกล้าเข้ามาขโมยสมบัติตระกูลเย่ แกเบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้วรึไง?”
เย่เฟิงถามอย่างโมโห
“เพราะวันนี้ เย่เวิ่นเทียนไม่อยู่ในเมืองเหยียนจิง……”
หัวขโมยยอมรับในความซวยของตัวเองแล้ว จึงสารภาพออกมาทุกอย่าง ตัวเขานั้นก็แค่อยากรวย ถ้าต้องมาตายที่นี่ล่ะก็ มันไม่คุ้มเลยสักนิด!
เมื่อเย่เฟิงได้ยินดังนั้นก็ลอบตื่นเต้นอยู่ในใจ อะไรนะ! เย่เวิ่นเทียนไม่อยู่ในเมืองนี้งั้นหรอ? นี่ถือเป็นข่าวดีจริงๆให้ตายเถอะ ในเมื่อชายชราคนนั้นไม่อยู่ ก็ไม่มีใครมาขัดขวางการไปยังทะเลจีนตะวันออกของเขาแล้วงั้นสิ?
เย่เฟิงคิดขณะยังคงกำร่างของหัวขโมยไว้ ก่อนจะโยนมันเข้าไปในห้องเก็บของ ความจริงชายหนุ่มอยากจะมัดร่างหัวขโมยคนนี้ไว้ด้วยเชือก แต่ทักษะสัมผัสวิญญาณทำให้รู้ว่าบ้านหลังนี้ไม่มีเชือกอยู่เลยแม้แต่เส้นเดียว มีเพียงโซ่เหล็กอยู่สองเส้น
“โซ่เหล็กก็ดี”
เย่เฟิงนำโซ่เหล็กมามัดร่างหัวขโมยจนแน่นไว้กับห้องเก็บของ จากนั้น เขาจึงเดินกลับไปยังห้องนอนและถอดหน้ากากออก เวลานี้ เย่เฟิงอยากกลับมากอดร่างบางอันหอมหวานของเด็กสาวให้หน่ำใจก่อนจะหลับไป
ถ้าหากเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับซูเหมิงหานก่อนหน้านี้แล้วล่ะก็ ชายหนุ่มคงรีบมุ่งไปยังแทบทะเลจีนตะวันออกในทันที
น่าเสียดายที่เพื่อเด็กสาวคนนี้ เขายังไม่อาจไปจากที่นี่ได้ตอนนี้
หัวขโมยผู้น่าสงสาร การถูกมัดด้วยโซ่เหล็กไว้ในห้องเก็บของแบบนั้นทั้งๆที่ขาหักไปข้างหนึ่ง แม้แต่อยากจะร้องไห้ก็ยังร้องไม่ออก ในโลกใบนี้จะมีหัวขโมยคนใดโชคร้ายกว่าเขาอีกไหมนะ
……
ในเวลาเดียวกัน ณ ที่แห่งหนึ่ง เย่เวิ่นเทียนและหลินหงชวนนัดพบในกันเขตชวีหยาง ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเหยียนจิง
ในอาณาเขตประเทศจีน มีถ้ำขนาดใหญ่อยู่ 10 แห่ง ขนาดเล็กอยู่ 36 แห่ง รวมทั้งแหล่งชุมนุมอีก 72 แห่ง ที่เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นที่ตั้งของเหล่าสำนักวรยุทธ์ นอกจากนี้ ถ้ำขนาดเล็กอันลึกลับทั้ง 36 แห่งยังตั้งอยู่ใกล้กับเขตชวีหยางอีกด้วย
ถ้ำอันลึกลับใกล้กับเขาเหิงซานที่พวกกระบี่จื่อเจินซึ่งหลบซ่อนเร้นอยู่ กลายมาเป็นสำนักวรยุทธ์ที่รู้จักกันดีในวันนี้
เวลานี้ เย่เวิ่นเทียนและหลินหงชวนนัดพบกับชายชราอีกคนหนึ่งในเขตชวีหยาง
ในศาลาชิมชาอันเงียบสงบและงดงาม เย่เวิ่นเทียนยืนเอามือไหว้หลังอยู่ริมหน้าต่างชั้นสอง ขณะจ้องมองไปยังท้องฟ้ามืดมิดอันแสนห่างไกล ไม่มีใครรู้ว่าชายชราคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ ถัดจากเขาไป มีชายชราอีกคนหนึ่งที่มีผมและหนวดเคราสีขาว ถึงแม้ว่าร่างของเย่เวิ่นเทียนจะสูงกว่า แต่หากต้องเทียบกันในเรื่องความน่ายำเกรงแล้ว เย่เวิ่นเทียนไม่อาจเทียบชายชราคนนี้ได้เลย!
หลินหงชวนกำลังเพลิดเพลินกับการชิมชาอย่างไร้กังวล ชานี้มาจากร้านอาหารที่เขาเป็นเจ้าของเอง
“เฒ่าถัง ข้าล่ะอยากจะดื่มชาที่ลูกสาวเจ้าทำจริงๆ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกแล้ว”
หลินหงชวนถอนหายใจก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ตามที่ข้าบอก พวกเจ้าแค่กลับไปยังเมืองเหยียนจิงแล้วลืมเรื่องนี้ไปเสีย”
“อะแฮ่ม เรื่องนี้ไม่ต้องยกขึ้นมาพูดอีกทีก็ได้”
ชายชราร่างเตี้ยหน้ากลม กระแอ่มแล้วเอ่ยว่า “ในวันนั้น ข้าและชิงหลิงเป็นหนี้บุญคุณพวกกระบี่จื่อเจินไม่น้อย เวลานี้ข้าได้สร้างศาลาชิมชาขึ้นมา บรรยากาศที่นี่เงียบสงบไม่เลวเลยทีเดียว ว่าแต่เฒ่าเย่ เจ้าบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะบอกพวกเราใช่ไหม?”
เย่เวิ่นเทียนหันกลับมาจ้องมองเฒ่าถังและหลินหงชวน ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีเคร่งขรึม “เย่เฟิงฝึกวรยุทธ์แล้ว”
ทันทีที่คำพูดเหล่านั้นหลุดออกจากปากเย่เวิ่นเทียน สีหน้าของเฒ่าถังและหลินหงชวนก็พลันเปลียนไปทันที
เย่เฟิงฝึกวรยุทธ์แล้ว?
จบกัน! นี่ไม่เท่ากับเป็นการเรียกร้องหาความตายรึไง?
…………………………………..
แปลโดย Solar Spark
Solar Spark: บทนี้อาจมีบางประโยคงงๆนะครับ เพราะผมก็อ่านไม่เข้าใจเหมือนกัน