บทที่ 133: การติดเชื้อ (2)
ตึงงง
กวานแจและเอนบิ อารินแสดงสีหน้าเป็นมิตรไปยังฮันซูที่เพิ่งมาถึง
“นายทำสำเร็จ!”
ฮันซูผงกศีรษะให้กับคำพูดของกวานแจขณะที่เขามองไปรอบๆ
‘อันตรายไม่ได้มากเท่าที่ฉันคิดไว้’
เหล่าลูกกิลด์นอนแผ่อยู่ระหว่างอคาดัสที่ถูกทำลายและกำลังพักผ่อน
ในทางหนึ่ง มันดูเหมือนว่าจะมีความสูญเสียน้อยกว่าที่คิดเพราะพวกคนที่ทรยศคนพวกนี้และมาหาเขา
ถ้าพวกนั้นไม่มาและซื้อเวลาให้เขาจากอคาดัสสีทอง งั้นเขาก็คงต้องรับมือกับพวกมันทั้งหมด 12 ตัว
และมันคงต้องใช้เวลามากกว่าเดิมมากในการครอบครองมงกุฎแห่งหนาม
ใครบางคนตะโกนขึ้นเสียงดังเมื่อฮันซูมาถึง
“ตอนนี้จะเกิดอะไรต่อ?”
ทุกคนเพ่งสมาธิไปยังโสตประสาทของตนเองหลังจากที่เสียงตะโกนของชายคนหนึ่งดังขึ้นไปทั่วสนามรบ
แม้ว่าพวกเขาจะรอดชีวิตผ่านอันตรายมาได้ก็ไม่ใช่ว่าทุกอย่างถูกแก้ไข
ฮันซูตะโกนตอบเสียงดัง
“อย่ากังวล! ปัญหาเกี่ยวกับของเหลวร่างกายได้ถูกแก้ไขแล้ว!”
ในตอนที่ฮันซูตะโกนออกไปนั้นเอง
ทั่วทั้งร่างของลาร์ซาร์สั่นสะท้านในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ
ในเวลาเดียวกัน บางอย่างได้แผ่ขยายออกมาจากแดนศักดิ์สิทธิ์และเริ่มที่จะแพร่ไปทั่วพื้น
คลื่นยักษ์ที่เปลี่ยนดินแดนสีดำให้กลายเป็นสีขาวด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ฮันซูผงกศีรษะเมื่อเขาเห็นภาพนั้น
‘ทารูโฮลทำงานได้ดี’
สีหน้าของทุกคนดูดีขึ้นเมื่อเห็นภาพนั้น
ในเมื่อพวกเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องของเหลวร่างกายเมื่อกรากอซตัวนี้ฟื้นตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว
แม้ว่าของเหลวร่างกายจะไม่ออกมาในทันที การรอสักสองสามวันก็เป็นเรื่องง่ายๆ
แต่คนที่ตะโกนออกมาก่อนหน้าได้ตะโกนออกมาอีกครั้งราวกับว่าเขายังไม่พอใจ
“ฉันไม่ได้ถามเรื่องนั้น!”
“หืมมม”
เมื่อฮันซูมองไปยังชายคนนั้น ชายคนนั้นก็ตะโกนออกมา
และกระทั่งใช้สกิลในครั้งนี้
“มันดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราและอคารอนก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น… งั้นไม่ใช่ว่าเราคงจะได้รับการผ่าตัดดัดแปลงร่างกายด้วยหรอกเหรอ?”
พวกเขาไม่อาจทำอะไรอคารอนได้ด้วยกำลัง
ในเมื่อพวกเขาได้เห็นมันด้วยตาตนเอง
อคารอนเพียงตนเดียวที่ทะยานอยู่ห่างออกไปพร้อมด้วยอคาดัสสีทองที่ส่องประกายหลายตัว
มันดูเหมือนว่ากองทัพสีเงินนี้ได้ตกอยู่ใต้การควบคุมของอคารอนแล้ว
แต่การผ่าตัดดัดแปลงร่างกายนั้นดึงดูดใจเกินกว่าที่พวกเขาจะยอมแพ้
ในเมื่อทุกคนได้เห็นอคารอนที่ทะลวงผ่านคลื่นสีเงินไปก่อนหน้า
ปริมาณพลังอันดุดันที่ออกมาจากร่างกายอันใหญ่โตของพวกเขา
อคาดัสที่พวกเขาต้องใช้อาร์ติแฟคและสกิลระดับสูงในการทำลายได้ถูกฟาดจนยับเยินด้วยกำปั้น เท้า และอาวุธกากๆ ของเจ้าพวกนั้น
ในเมื่อมันไม่ได้ดูเหมือนว่าพวกเขาเป็นอริกันกับอคาดัส มันคงจะยอดเยี่ยมมากหากพวกเขาจะได้รับการผ่าตัดดัดแปลงร่างกายก่อนที่จะขึ้นไป
ฮันซูตะโกนตอบ
“แน่นอน ได้มากเท่าที่พวกนายต้องการ ฉันไม่เคยคิดที่จะครอบครองมันไว้คนเดียวอยู่แล้ว”
สีหน้าของทุกคนดูดีขึ้น
ทว่าสีหน้าของกวานแจและคนอื่นๆ เลวร้ายลง
‘ฉันคาดเอาไว้แล้ว แต่…’
มีเพียงแค่ความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นหากพลังถูกมอบให้กับผู้ที่พวกเขาไม่อาจควบคุมได้
ทำไมคนคนหนึ่งที่รู้เรื่องนี้ดีกว่าทุกคนถึงได้เลือกแบบนี้กัน?
ทว่าฮันซูเอ่ยเพิ่มขึ้นในตอนท้าย
“เว้นเสียแต่ว่า มันจะไม่ถูกมอบให้กับทุกคน”
ถ้าพวกเขาจะมอบพลังมหาศาลให้กับใครบางคนที่จะทำตามอำเภอใจ พวกเขาก็ควรจะใช้พลังนั่นเพื่อตนเองเสียยังดีกว่า
ดังนั้นแล้ว เขาจะสร้างกิลด์ใหม่ขึ้นในเขตสีส้ม
กิลด์ที่จะแบ่งความรับผิดชอบและอำนาจไว้อย่างเหมาะสม
ไม่ใช่กิลด์ที่จะเคลื่อนไหวตามความต้องการของหัวหน้ากิลด์หรือใครบางคนที่แข็งแกร่ง แต่เป็นกิลด์ที่จะทำตามกฎเกณฑ์ของมัน
พวกเขาจะมอบการปกป้องและทำให้ผู้คนภายในกิลด์แข็งแกร่งขึ้น แต่ในทางกลับกัน คนเหล่านั้นก็ต้องทำตามกฎและรับผิดชอบหน้าที่ของตนเองในกิลด์
หัวหน้ากิลด์คนเก่า เอนบิ อาริน กวานแจ และแอเรียลต่างก็แสดงสีหน้างุนงงออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น
‘… ไม่แน่ใจว่ามันจะใช้ได้รึเปล่า’
การตั้งกฎขึ้นเป็นเรื่องดี
การควบคุมคงจะไม่ยากในเมื่ออคาดัสมีตัวตนอยู่
แต่จุดตัดสินยังคงขาดหายไป
พวกเขามองไปยังเหล่านักผจญภัยรอบๆ ที่กำลังพึมพำ
ถุ้ย!
เอพิทรอส หนึ่งในนักผจญภัยที่ออกล่าไปทั่วลาร์ซาร์ถุยน้ำลายลงที่พื้น
‘เวรเอ้ย กับการที่มันยากขนาดนี้ในการฆ่ามดปลวกแบบนี้’
นอกจากนั้น ภาพการต่อสู้ของอคารอนก็ยังคงสดใหม่อยู่ในความทรงจำของเขา
และเพราะแบบนั้น เขาจึงโอดครวญมากกว่าเดิม
‘บ้าเอ้ย อคารอนคือพวกที่ทำงานหนักขนาดนั้น แต่ทำไมเขาถึงเป็นคนตัดสินใจ?’
ยิ่งคิดถึงฮันซูที่พยายามจะมัดพวกเขาแทนที่จะมอบมันให้กับพวกเขาฟรีๆ ได้ทำให้เขารู้สึกโกรธยิ่งขึ้นกว่าเดิม
กระทั่งกิลด์ใหญ่ยังล้มเหลวในการควบคุมลูกกิลด์ทั้งหมดของพวกเขา
สำหรับคนเหล่านั้นแล้ว มันก็นับว่าพวกเขาแค่ให้ยืมชื่อกิลด์ไปใช้เท่านั้น
เหมือนกับเกม
ในเมื่อเรามีกิลด์อยู่ข้างหลัง อย่ามาวุ่นวายกับพวกเราโดยไม่คิดก่อน
และหากมันมีผลประโยชน์ พวกเขาก็จะไหลตามไป แต่หากมันไม่มี พวกเขาก็จะแค่ออกมา
ในเมื่อมันไม่มีความผูกพันสำหรับพวกเขาต่อกิลด์มากเท่าใดนัก หัวหน้ากิลด์จึงไม่อาจวางหรือกำหนดกฎขึ้นได้ง่ายๆ
ในเมื่อพวกเขากังวลว่านักผจญภัยจำนวนนับไม่ถ้วนที่อาศัยอยู่อย่างอิสระจนถึงตอนนี้จะจากพวกเขาไป
แต่หมอนี่ต่างออกไป
ในเมื่อเขาได้ครอบครองทั้งอคาดัสและการผ่าตัดดัดแปลงร่างกายไว้ในมือ
<อย่ามาคุยกับเรา ไปคุยกับฮันซู เราไม่มีอะไรจะคุยกับเจ้า>
‘บ้าเอ้ย’
เขาไม่สนใจที่จะคุยกับฮันซูและไปหาอคารอนด้วยตนเอง ทว่าการที่เขาถูกปฏิเสธทำให้เขาหัวเสีย
‘ไอ้ตัวพวกนี้ที่ฉันฆ่าได้ง่ายๆ เมื่อก่อน…’
เขาไม่อาจทำอะไรกับอคารอนได้อีก
ในเมื่ออคาดัสสีเงินกำลังจ้องมองเขาอยู่จากข้างๆ
‘แล้วพวกหัวหน้ากิลด์ทั้งหมดก็เข้าร่วมเหมือนกัน… ไอ้ฉิบหายเอ้ย’
ฮันซูมีบางอย่างที่ผู้คนสามารถหาประโยชน์ได้ไม่เหมือนกับกิลด์ที่ผ่านๆ มา และเขากระทั่งมีพลังที่จะบังคับควบคุมคนเหล่านั้นได้
ในเมื่อมันไม่มีอะไรมาขวางทาง กิลด์ <ยูนิตี้> จึงขยายออกด้วยความเร็วอันน่าหวาดกลัว
ในตอนนั้นเอง คาเรน หนึ่งในเพื่อนของเขาที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาได้เอ่ยถามเอพิทรอสขึ้น
“เฮ้! เราก็เข้าร่วมด้วยเป็นไง? มันไม่ได้ดูเหมือนว่าคนส่วนมากจะมีเรื่องไม่พอใจมากมาย ทำไมนายถึงเยอะนัก?”
“นังโง่ เราจะเป็นเหมือนเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมถ้าเราทำตามกฎ เธออยากจะมีชีวิตอยู่แบบนั้นรึไง?”
คาเรนหัวเราะเมื่อไดยินเช่นนั้น
“ถ้ามันมีปัญหาแบบนั้นงั้นก็พูดออกมาสิ แล้วเราต้องทำตามจริงๆ รึไง?”
“หืมม?”
“นายไม่คิดเหรอว่าพวกนั้นกำลังขยายตัวงออกรวดเร็วเกินไป?”
“หืมม… ใช่ มันดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น”
เอพิทรอสพึมพำ
กิลด์นั้นน่าดึงดูดมาก
ทว่าคนที่อาศัยอยู่อย่างอิสระล้วนเข้าร่วมโดยไร้ซึ่งคำโอดครวญ
“พวกนั้นจะทำอะไรได้ถึงพวกนั้นจะมีกฎและหุ่นยนต์ในการป้องกันไม่ให้คนทำผิดกฎ? พวกนั้นมีคนไม่พอที่จะจับตามองทุกคน เราก็แค่ทำตามที่เราต้องการในที่ที่พวกนั้นมองไม่เห็นเราก็ได้”
“เยี่ยม”
เอพิทรอสแสดงสีหน้าพึงพอใจอย่างมากออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น
มันดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น
จะอย่างไร การตัดสินว่าคนคนนั้นทำตามกฎหรือไม่ก็จำเป็นต้องใช้คน
แล้วกิลด์เกิดใหม่กิลด์หนึ่งจะไปหาคนที่จะคอยเฝ้ามองคนอื่นๆ อย่างเต็มที่แบบนั้นได้อย่างไร?
“หืมมม… แบบนี้ดูน่าดึงดูดกว่าเยอะ ไปดูหน่อยล่ะกัน”
เอพิทรอส คาเรน และคนอื่นๆ มุ่งหน้าไปยังฐานหลักของกิลด์ <ยูนิตี้> ที่ถูกสร้างขึ้นเบื้องหน้าดินแดนที่อคารอนเรียกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์
“มันมีของเหลวร่างกายมากพอที่ผู้คนจะกิน… อำนาจของพวกเราก็ขยายออกอย่างรวดเร็ว การค้นหาประตูมิติเองก็กำลังเป้นไปได้สวยเหมือนกัน แต่การควบคุมคนพวกนั้นค่อนข้างยาก”
กวานแจขมวดคิ้วกับพิราบสื่อสารจำนวนนับไม่ถ้วนที่บินมาจากทุกทิศทาง
ผลไม้หอมหวานที่จะล่อผู้คนและแส้ที่จะคอยควบคุมคนเหล่านั้นได้อยู่ในการครอบครองแล้ว
ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด
คนที่จะตัดสินว่าจะมอบผลไม้หรือฟาดแส้ลงไปยังคงขาดแคลนอยู่มาก
“นายคิดอะไรอยู่? ถ้าเป็นแบบนี้มันจะกลายเป็นปัญหาสำคัญนะ”
กฎไม่ถูกทำตามแม้ว่าจะมีพวกเขาอยู่มันก็เหมือนกับว่าไม่มีพวกเขาอยู่ตั้งแต่แรก
ในเมื่อคนเหล่านี้จะเลือกที่จะไม่ทำตามถ้าพวกเขาสามารถทำได้
กวานแจมั่นใจอย่างมากว่าสภาพแวดล้อมคือปัจจัยสุดท้ายว่าหนึ่งคนจากสิบคนหรือห้าคนจากสิบคนจะกลายเป็นโจร
‘ชิ ฉันก็พูดอะไรไม่ได้มากในเมื่อเขาก็ดูยุ่งเหมือนกัน’
กวานแจแสดงสีหน้าไม่พอใจไปยังฮันซูที่เคลื่อนไหวไปมาระหว่างที่ต่างๆ และเตรียมหลายๆ สิ่ง
ฮันซูเอ่ยขึ้นขณะที่เขามองไปยังกวานแจ
“นายทำงานหนักมากเลยนะเนี่ย”
กวานแจเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเย็นชา
“ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนของนาย ฉันก็คงไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว”
เป้าหมายของเขาไม่ใช่การแข็งแกร่งขึ้น
ไม่สิ มันคือเป้าหมายของเขาในอดีต แต่เขาตระหนักขึ้นได้หลังจากที่มีชีวิตอยู่โดยไม่มีภรรยาของเขาเมื่อเธออยู่ห่างจากเขา
ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของเขาคืออะไร
สถานการณ์ที่เขาไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าเขาขึ้นไป
ถ้าสถานที่แห่งนี้สงบลง งั้นเขาก็จะตัดสินใจอยู่ที่นี่กับภรรยาของเขาแทนที่จะขึ้นไป
และจะพยายามรักษาความสงบของที่แห่งนี้ไว้อย่างสุดกำลัง
‘แต่… นี่ไม่ดูเหมือนกระทั่งใกล้เคียงคำว่าพอ’
พวกเขามีคนน้อยเกินไป
กวานแจเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงงในตอนแรก
“ทำไมนายถึงพยายามมอบการผ่าตัดดัดแปลงร่างกายให้คนมากขนาดนี้? เราจำเป็นต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ? เราจะมอบให้แค่คนที่เราไว้ใจก็ได้นี่”
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมหมอนี่ถึงได้มอบการผ่าตัดดัดแปลงร่างกายให้คนอื่นๆ กระทั่งในขณะที่กำลังดึงพวกเขาเข้ามา
มันอาจจะต่างออกไปหากเป็นคนที่เขาสามารถเชื่อใจได้อย่างกิลด์ครอส แต่ทำไมเขาถึงขยายอำนาจของเขาออกอย่างโง่ๆ แบบนี้กัน?
ความยากในการควบคุมคนเหล่านั้นมากขึ้นหลายเท่าตัวเพราะแบบนั้น
และปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือพวกแมงเม่า
คนส่วนมากยอมรับกิลด์ได้โดยไร้ปัญหา ทว่าพวกแมงเม่าส่วนน้อยคือพวกที่พยายามจะทำเพียงดูดน้ำหวานและทำตัวกลมกลืนกับคนส่วนมากคือปัญหา
เมล็ดพันธุ์แห่งความเลวร้ายจะยังคงอยู่หากพวกเขาไม่อาจควบคุมคนเหล่านั้นได้ แต่พวกเขาไม่มีกำลังคนที่ใกล้เคียงคำว่าพอในการคัดกรองคนเหล่านั้นออกไป
ฮันซูพึมพำอยู่ภายในเมื่อได้ยินคำพูดของกวานแจ
‘… เพราะไม่งั้นเราจะไม่อาจสู้กับอบิสได้’
ถ้ามันมีเพียงแค่มนุษย์ คำพูดของกวานแจก็ถูกต้อง
ทว่าเขาต้องเตรียมตัวสำหรับมหาสงคราม
พวกเขาจะถูกทำลายหากเขามอบพลังให้เพียงแค่คนที่เขาสามารถไว้ใจได้หรือชื่นชอบ
‘แต่อืม มันยังมีอีกวิธี’
ฮันซูหยุดคิดและมองไปยังกวานแจที่กำลังกังวลก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ฉันจะคัดกรองพวกนั้นออกทั้งหมด เพราะงั้นไม่ต้องกังวล ฉันเริ่มเรียกคนขึ้นมาช่วยพวกเราแล้ว”
กวานแจหัวเราะ
เขารวบรวมคนที่เขาสามารถเชื่อใจได้ไว้นานแล้ว
“แล้วพวกนั้นอยู่ที่ไหนล่ะ?”
“ข้างล่าง”
“อะไรนะ?”
ในตอนที่ฮันซูพูดจบ เขาก็ใช้ลักษณะพิเศษของเขา เจ็ดเสี้ยววิญญาณ
จากนั้นจึงเชื่อมต่อดวงวิญญาณของเขากับเตกิลอนวัยหนุ่มที่อยู่ในเขตสีแดง
<ไม่เป็นไรแล้วถ้านายจะส่งพวกเขาขึ้นมาในเมื่อมันมีของเหลวมากพอแล้ว โปรดส่งพวกเขาขึ้นมา>
<เข้าใจแล้ว พวกเขากำลังถามเลยว่าเจ้าทำให้พวกเขารอนานเกินไปถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เห็นหน้าเจ้านานแล้วก็ตาม>
ฮันซูหัวเราะอย่างเงียบๆ กับคำพูดของเตกิลอนวัยหนุ่มก่อนจะพึมพำ
‘ช้าๆ ทีล่ะก้าว…’
เขาจะขึ้นไปเมื่อเขาพบประตูมิติ
เขาต้องทำให้สถานที่นี้สงบลงก่อนที่เขาจะขึ้นไป
กิ้งงงง
ทะเลสาบที่ถูกสร้างขึ้นเหมือนกับอุโมงค์โดยเหล่าแฟรี่เริ่มที่จะส่องแสงสว่างจ้า
“หืมมม”
กวานแจชะงักไปเมื่อเขาเห็นภาพนั้น
‘ถ้าคนจากด้านล่างขึ้นมาช่วย…’
ทว่ากวานแจส่ายศีรษะในทันที
“มันไม่ใช่อะไรที่จะสามารถแก้ไขได้ด้วยคนแค่คนสองคน เราไม่อาจทำอะไรได้มากด้วยเส้นสายของนาย…”
กวานแจขมวดคิ้วและหรี่ตาลงกับภาพที่ปรากฏขึ้นกลางประโยคของเขา
มันไม่ได้แค่หนึ่งหรือสองแห่งที่ส่องประกายขึ้น
ทะเลสาบนับพันทั่วทั้งลาร์ซาร์กำลังส่องแสง
‘คนมากแค่ไหนกำลังขึ้นมากัน… นี่นายทำบ้าอะไรข้างล่างนั่น?’
กวานแจหรี่ตาของเขาและแสดงสีหน้าตะลึงงันออกมาเมื่อเขาเห็นภาพนั้น
“หวา…”
เอพิทรอสและคาเรนที่หวาดกลัวจนแข็งค้างหลังจากที่มาถึงฐานหลักของกิลด์เพื่อที่จะแอบกลืนกินผลประโยชน์บางอย่าง
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ
นักผจญภัยจำนวนนับไม่ถ้วนได้ออกมาจากทะเลสาบที่เชื่อมต่อกับเขตสีแดง
ไม่เหมือนสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายเมื่อพวกเขาขึ้นมาเพราะความต้องการของตนเอง คนนับหมื่นได้เข้าแถวอย่างเป็นระเบียบและเดินขบวนราวกับกองทัพ
‘ฉันสงสัยอยู่ว่าทำไมไม่มีคนใหม่ขึ้นมาเลยในสองสามวันที่ผ่านมา… เกิดอะไรขึ้นข้างล่างกัน?’
คาเรนขมวดคิ้ว
การควบคุมที่มีขนาดใหญ่โตแบบนี้หมายความว่ามีใครบางคนได้ยึดครองดินแดนทั้งหมดข้างล่างเอาไว้แล้ว
‘ไม่สิ แค่ยึดครองยังไม่พอด้วยซ้ำ’
สมองของคาเรนไม่อาจทำความเข้าใจได้ว่าเรื่องแบบนี้เกิดขี้นได้ยังไง
จำนวนขนาดนั้นมันก็ไม่ธรรมดาแล้วตั้งแต่แรก
และการที่คนมากขนาดนั้นกำลังถูกควบคุมก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้มากกว่า
มันมีหลายอย่างที่เธออยากจะถาม แต่มีอย่างหนึ่งที่ชัดเจน
“… นายจะเอายังไง? คนพวกนั้นต้องเป็นคนที่เจ้าหัวหน้ากิลด์คนใหม่นั่นเรียกขึ้นมาแน่ๆ ถ้าคนพวกนั้นเข้าร่วม เราก็จะทำอะไรไม่ได้เลย”
“หุบปากสักพักสิ ฉันก็เห็นเหมือนกัน”
เอพิทรอสครุ่นคิดอย่างหนักไปชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจ
“อย่าเข้าไปแล้วกัน”
“หือ?”
“คิดดูสิ มีคนอาศัยอยู่ที่โลกข้างบนนั่นเหมือนกัน แฟรี่ไม่ได้ชื่นชอบการฆ่าฟันมนุษย์หรืออะไรแบบนั้น ถ้ามันมีสภาพแวดล้อมขนาดที่คนต้องการการผ่าตัดดัดแปลงร่างกายในการเอาชีวิตรอด งั้นพวกมันก็คงจะแสดงให้พวกเราเห็นไปแล้ว”
“อืม… มันไม่เหมือนว่าเราจะตายถ้าเราไม่เข้าไปนี่”
มันไม่มีอะไรให้กังวลว่ากรากอซจะพลิกตัว และมันก็ไม่มีมาร์กอชเช่นกัน
และอันตรายเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นไปได้ อคารอน ก็คือพันธมิตรของพวกเขา
ในเมื่อมันไม่มีอันตราย พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลให้เข้าร่วม
คาเรนครุ่นคิดถึงกฎที่ไหลมายังเธออีกครั้งก่อนจะผงกศีรษะ
‘ไม่อนุญาตให้ฆ่ากันเอง แบ่งของอย่างยุติธรรม… แล้วมันจะไปสนุกตรงไหน?’
คนอื่นๆ อาจจะกลัวโลกที่ไร้กฎเกณฑ์ แต่เธอชอบมันมาก
เธอไม่ต้องการจะกลายเป็นฟันเฟืองตัวหนึ่งด้วยการทำตามกฎแบบนั้น
‘ตราบเท่าที่ไม่มีอะไรใหญ่ๆ เกิดขึ้น มันก็คงไม่มีปัญหา’
ทั้งสองคนหยุดคิดขณะที่พวกเขาหันหลังให้กับฐานหลักและเดินจากไป
TL: ปู่เท่จัดดด//โบกป้ายไฟ