บทที่ 128: มงกุฎแห่งหนาม (2)
ซ่า ซ่า
วัวยักษ์กลิ้งไปมาในทะเลลาวา
สายลาวาสาดกรนะจายไปทั่วพร้อมกับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่
มาร์กอชที่เหลืออยู่บนกรากอซถูกบดขยี้ไประหว่างตัวของกรากอซและเฮอริงเซ็นและถูกสังหารหมู่
ถ้ามาร์กอชตายไปทั้งแบบนั้น มันก็คงจะไม่ต่างกันมากสำหรับมนุษย์
ทุกคนรับรู้ได้ถึงเหงื่อเย็นเยียบที่ไหลโชกแผ่นหลังขณะที่มองไปยังภาพนั้นจากบนศีรษะของสิงโตดำหลังจากที่หลบหนีมาได้ทันอย่างเฉียดฉิว
ในเมื่อพวกเขาสามารถนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพวกเขาได้
‘ฟิ้ว’
ทว่าเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกก็ดังขึ้นเพียงแค่พักเดียวเท่านั้น
ทุกคนมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเป็นกังวล
ดินแดนแห่งความตาย
ไม่มีคำใดที่เหมาะสมกับสถานที่แห่งนี้ไปมากกว่านี้แล้ว
‘มันเลวร้ายกว่าที่เห็นจากไกลๆ มาก’
ผู้นำกิลด์โอโคเนลลี่ อาคอน ขมวดคิ้ว
ผิวหนังแห้งผากและแตกระแหง
ศพแห้งกรังของมาร์กอชที่อดตายจากการขาดแคลนของเหลวร่างกายและแห้งจากความร้อนของลาวา
มันค่อนข้างจะชัดเจนว่ามันไม่มีอะไรเลยที่พวกเขาจะสามารถดื่มได้
พวกเขาถูกบังคับลากมาที่ดินแดนแห่งความตายนี้
“บ้าเอ้ย นาย… นายอยากจะให้เราทำอะไรกันแน่! ไอ้ที่ลากพวกเรามาที่นี่น่ะ!”
“นายจะทำอะไร?”
เสียงโอดครวญดังขึ้นจากรอบๆ
แม้ว่าพวกเขาจะหนีรอดมาได้จากการกลิ้งตัวของวัว พวกเขาก็ทำได้เพียงสบถออกมาจากสถานการณ์ในตอนนี้
ในตอนนั้นเองที่อาคอนตะโกนออกมา
“กิลด์รีโรรีโรเร! พวกแกคิดอะไรอยู่กันแน่ไอ้พวกสารเลว! พวกแกทำให้กรากอซวัวพลิกตัวใช่ไหม?”
“อะไรนะ?”
ขณะที่ทุกคนหันไปมองอาคอน เขาก็ยิ่งตะโกนดังขึ้นอีก
“ฉันเคยอ่านมาว่ากรากอซจะพลิกตัวเมื่อมันเริ่มขาดแคลนของเหลวร่างกาย แล้วพวกแกก็ทำอะไรบ้าๆ บางอย่างเมื่อไม่นานมานี้อยู่ไม่ใช่รึไง?”
“…เ**แม่ พวกแกวางกับดักเอาไว้จริงๆ ใช่ไหม”
กวานแจแสดงสีหน้าขมขื่นออกมา
ในเมื่อคำพูดเหล่านั้นไม่ได้ผิดไปเสียทั้งหมด
ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่บาทหลวงต้องการและฮันซูไม่ได้ขัดขวาง กรากอซคงจะกลิ้งตัวบนลาวาไปนานแล้วจากการกระทำของกวานแจ
โดยที่มีมนุษย์ทั้งหมดอยู่บนนั้น
สีหน้าของทุกคนเริ่มเลวร้ายลง
การที่พวกเขาต้องข้ามมาที่นี่ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น
สิ่งที่สำคัญคือตอนนี้พวกเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่และต้องการใครบางคนมารับผิดชอบ
และใครบางคนที่พวกเขาจะสามารถระบายความโกรธลงไปได้
“ไอ้พวกสารเลวไร้สติ! พวกแกคิดอะไรอยู่กันแน่!”
“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่มาหลังจากเรา? แล้วเราจะไปที่เขตต่อไปได้ยังไง!”
เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยวได้ดังขึ้นจากหลายๆ ที่
ทุกคนกำอาวุธของตนเองแน่นและเริ่มแสดงสีหน้าโกรธเคืองออกมา
คนที่ความอดทนต่ำบางคนได้เริ่มใช้สกิลไพ่ตายของตนเองและเล็งไปยังบริเวณที่ฮันซูและกวานแจยืนอยู่แล้ว
มันเป็นสถานการณ์ที่อันตรายอย่างมาก
ในตอนนั้นเอง
อากาศได้ฉีกออกในขณะที่บางอย่างปรากฏขึ้นมา
“!!”
รูเล็กๆ ที่ปรากฏขึ้นในอากาศ
ทว่าผู้คนที่มองเห็นภาพนั้นพลันแข็งค้างไปอย่างพร้อมเพรียงกัน
ในเมื่อมันคือภาพที่พวกเขาไม่อาจลืมเลือนได้แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เห็นมันมานานมากแล้ว
“แฟรี่…”
“บัดซบ ทำไมไอ้ตัวที่เราไม่ได้เห็นมาเป็นปีๆ…”
ในขณะที่พวกเขากำลังกัดฟันกรอด แฟรี่ที่ปรากฏขึ้นจากกลางอากาศก็แย้มยิ้ม
“สวัสดีทุกคน! จะยังไงก็เถอะ ฉันไม่รู้ว่าทำไมพวกคุณถึงได้พยายามกระเสือกกระสนมาที่นี่ทั้งๆ ที่พวกเราได้สร้างสถานที่ที่งดงามและสะดวกสบายให้พวกคุณอาศัยอยู่แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
หากแฟรี่กำลังอธิบายแผ่นหลังของกรากอซว่างดงามและสะดวกสบายในการอาศัยอยู่ งั้นมันต้องอาศัยอยู่ในนรกแน่ๆ
ในเมื่อหากใครบางคนกำลังอิจฉาสถานที่ที่มาร์กอชออกอาละวาดไปทั่วและมักจะมีโอกาสที่พวกเขาจะตกลงไปในลาวาอยู่ตลอดเวลา งั้นพวกเขาก็ต้องอาศัยอยู่ในนรกแน่ๆ
ทุกคนกัดฟันกรอด
ทว่าคนจำนวนมหาศาลรวมตัวกัน
แน่นอนว่ามันต้องมีคนที่ไม่หยุดอยู่แค่การกัดฟัน
และโดยเฉพาะตอนที่พวกเขากำลังหัวเสียถึงขนาดนี้
“ดี! อีกะ**! มันก็ผ่านมาสักพักแล้ว!”
หนึ่งในลูกกิลด์โอโคเนลลี่ที่ได้เตรียมไพ่ตายของเขาไว้
‘หือ… ก้าวร้าวจริง’
อาคอนเดาะลิ้น
เจ้าหมอนี่เป็นคนที่มั่นใจในความสามารถของตนเองและค่อนข้างจะไร้ความอดทน
ในเมื่อเขาพร้อมที่จะพุ่งเข้าไปเป็นคนแรกในตอนที่การต่อสู้ที่เหมือนสงครามกำลังจะเกิดขึ้น
และสมกับคนแบบนั้น วิธีการที่เขาใช้ยิงธนูแห่งความกราดเกรี้ยวไปยังแฟรี่จึงโหดเหี้ยมเช่นกัน
‘อี***! แกคิดเหรอว่าพวกเรายังเป็นมดปลวกเหมือนเมื่อก่อน!?’
ชายคนนั้น แมคคาเลน กัดฟันกรอด
เขาไม่อาจลืมสิ่งที่ฆ่าเพื่อนของเขาราวกับมดแมลงตอนที่อยู่ในบทฝึกซ้อมได้
แต่ตัวเขาในตอนนี้ไม่ใช่ตัวเขาในอดีต
ตอนนี้เขาสามารถฆ่าคนจากบทฝึกซ้อมนับหมื่นคนได้ง่ายๆ
สกิลไพ่ตายของแมคคาเลนที่ผ่านการฝึกฝนมากว่าเจ็ดปีได้ถูกรวบรวมเอาไว้ในมือของเขา <ลำแสงสีแดง> พุ่งทะยานออกไปในอากาศ
ตูมมมม!
ลำแสงสีแดงโจมตีไปยังร่างของแฟรี่ที่ลอยอยู่กลางอากาศ
พลังอันน่าพรั่นพรึงที่จัดการนักผจญภัยได้ทุกคน
สีหน้าของทุกคนดูดีขึ้น
‘โดนเหรอ?’
การที่แฟรี่ที่เป็นเหมือนพระเจ้าไม่อาจหลบสกิลนั้นได้ได้สร้างความฮึกเหิมให้พวกเขา
และแมคคาเลนที่เห็นภาพนั้นเองก็ได้หันไปยังคนอื่นๆ แล้วหัวเราะอย่างลำพองใจ
“พวกนายก็เห็นแล้ว! มาทำเหมือนกันกับ…”
ทว่าแมคคาเลนรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างผิดพลาดในเสี้ยววินาที
ในเมื่อผู้คนกำลังถอยห่างออกไปอย่างเชื่องช้า
หรือจะพูดให้แม่นยำไปกว่านั้น พวกเขากำลังถอยห่างออกจากเขา
ในตอนนั้นเองที่แมคคาเลนรับรู้ได้ถึงสันหลังที่เย็นวาบและพยายามจะหันศีรษะกลับไปมองแฟรี่
ทว่าไม่ช้าเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น
ในเมื่อเขาสามารถได้ยินเสียงที่ดังขึ้นได้
“มันก็สะกิดได้นิดหน่อยน่ะนะ แต่ ฮี่ฮี่”
“…อะไรนะ?”
‘… แต่?’
แมคคาเลนแสดงสีหน้างุนงงออกมาขณะที่เขาหันตัวกลับไป
และแข็งค้างอยู่แบบนั้น
ในเมื่อบางอย่างมันแตกต่างกว่าเดิมมาก
ดวงตาที่มักจะเต็มไปด้วยความขบขันชี้ขึ้น และริมฝีปากที่โดยปกติแล้วมีเพียงรอยยิ้มสบายๆ ก็ได้ปรากฏรอยยิ้มโหดเหี้ยมขึ้นแทน
“แต่มันก็ทำให้ฉันรู้สึกไม่พอใจนิดหน่อย คุณก็เห็น ฉันยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้รับผลกระทบจากอารมณ์ และฉันได้รับอนุญาตให้ระบายอารมณ์ของฉันตราบเท่าที่มันไม่ได้ล้ำเส้น”
“หือ…. หือออ?”
“คุณควรจะรับผิดชอบในการกระทำของคุณใช่ไหม?”
เมื่อสิ้นเสียง แฟรี่ก็เริ่มฉีกแมคคาเลนที่โจมตีมันออกเป็นชิ้นๆ
จากศีรษะถึงเท้า
ทีล่ะเล็กทีล่ะน้อยต่อครั้ง
“อ๊ากกกกกก!”
แฟรี่มีขนาดแค่ราวๆ ฝ่ามือของแมคคาเลน ดังนั้นปริมาณของเนื้อที่มันจะสามารถดึงออกมาได้จึงแค่ราวๆ นิ้วหัวแม่โป้ง
และมันคือสิ่งที่ทำให้น่าพรั่นพรึงมากกว่าเดิม
ในเมื่อแฟรี่ได้ฉีกร่างของแมคคาเลนออกทีล่ะน้อยอย่างคงที่ขณะที่พยายามรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ให้ได้ดีที่สุด
“… เชี่ย”
“สันขวานเอ้ย…”
นักผจญภัยทุกคนกลืนน้ำลายลงเมื่อเห็นคนคนหนึ่งกำลังถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
แมคคาเลนพยายามที่จะต่อต้านอย่างสุดชีวิต ทว่ามันไร้ประโยชน์
ในเมื่อแฟรี่ยังคงจัดการตัวเขาต่อไปไม่ว่ามันจะถูกโจมตีแบบไหนก็ตาม
“ไอ้… เชี่ย”
แมคคาเลนสบถทิ้งท้ายขณะที่เขาหายไปจากโลกนี้
แฟรี่ที่ลบแมคคาเลนออกจากโลกเปิดปากพูดในขณะที่ร่างของมันถูกปกคลุมไปด้วยเลือดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
พร้อมกับเผยรอยยิ้มกระตือรือร้นเช่นแต่ก่อน
“จะยังไงก็เถอะ เหตุผลที่ฉันมาคือ… มาบอกพวกคุณว่าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับประตูมิติ ในเมื่อประตูมิติและพวกสัตว์อสูรคือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการเติบโตของพวกคุณ และในเมื่อสถานที่ที่พวกคุณอาศัยอยู่เปลี่ยน พวกเราก็แค่ต้องเปลี่ยนมันด้วย”
เมื่อแฟรี่ดีดนิ้ว เสียงบางอย่างถูกบดขยี้ก็ดังขึ้นไปทั่วร่างของสิงโตดำ
ครึ่กก ครึ่กกก
พื้นถูกขุดขึ้นจนกลายเป็นถ้ำที่ดูเหมือนกับทางเข้าดันเจี้ยน ทะเลสาบถูกสร้างขึ้นพร้อมกับสัตว์อสูรที่ปรากฏตัวขึ้นทั่วทั้งพื้นที่
กร๊าซซซซ!
สัตว์อสูรที่เพิ่งเกิดใหม่ลุกขึ้นจากพื้น และหลายๆ อย่างก็เริ่มออกมาจากแผงคอของสิงโตดำ
พลังที่ราวกับพระเจ้า
ทุกคนที่เห็นภาพนั้นกัดฟันกรอด
‘… ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เราจะสามารถต่อต้านได้’
แต่การเปลี่ยนแปลงไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น
เมื่อแฟรี่ดีดนิ้วของมันอีกครั้ง ทะเลสาบขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นจากพื้น
ทางข้ามที่คล้ายกับกระจกที่พวกเขาเคยใช้ขึ้นมาจากเขตสีแดง
“ในเมื่อมันไม่มีมาร์กอชที่นี่ เราก็จะใช้ไอ้นี่ไปชั่วคราว ฉันได้สร้างทะเลสาบแบบนี้ขึ้นมาจำนวนมาก ตอนนี้พวกเขาจะผ่านมาทางนี้แทน ไม่ใช่ว่าพวกเขาค่อนข้างจะโชคดีเลยเหรอ? ในเมื่อพวกเขาคงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับว่าจะถูกเคี้ยวในปากของมาร์กอชรึเปล่า”
ใครบางคนตะโกนออกไป
“เดี๋ยวก่อน! วิธีการมาที่นี่ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว แต่แล้วการออกจากที่นี่ล่ะ?”
แฟรี่หัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“คุณไม่รู้เหรอว่าคุณควรจะต้องตามหามัน? พวกคุณก็แค่ใช้ประโยชน์จากการที่รุ่นพี่ของพวกคุณหามันเจอ พยายามตามหามันเข้าล่ะ ในเมื่อมันจะอยู่ที่ไหนสักแห่งบนสิงโตดำนี่ โอ้ใช่แล้ว พวกคุณรู้ใช่ไหมว่ากินเจ้าสัตว์ประหลาดนี่ไม่ได้?”
จากนั้นแฟรี่จึงหายไป
และทุกคนที่ได้ยินคำพูดของแฟรี่รู้สึกหัวเสีย
“บัดซบเอ้ย…”
มันคงจะไม่สำคัญถ้าทุกอย่างเป็นอย่างที่เคยเป็นมา
ในเมื่อมันไม่มีคนอ่อนแอที่เพิ่งจะขึ้นมาจากเขตสีส้ม
ในเมื่อพวกเขาก็แค่ต้องล่าและตามหาประตูมิติ
แต่สถานการณ์มันต่างออกไปมาก
พวกเขากำลังจะตายจากความหิวโหย
พวกเขาคงจะมีชีวิตรอดไม่ถึงห้าวันหากเป็นแบบนี้ต่อไป
ความโกรธที่ถูกอดกลั้นไว้ชั่วคราวได้กลับไปสู่จุดระเบิดอีกครั้ง
“กิลด์รีโรรีโรเร ไอ้พวกเวร! พวกแกจะทำยังไง! ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย!”
“หัวหน้ากิลด์ เกิดอะไรขึ้น! คำพูดพวกนั้นเป็นความจริงเหรอ?”
ในตอนนั้นเอง อาคอน หัวหน้าของกิลด์โอโคเนลลี่ได้ตะโกนออกมา
“เดี๋ยว! นายหมายความว่ายังไงที่ว่าไม่มีอะไรให้กิน แน่นอนว่ามันมีอะไรให้กิน!”
จากนั้นอาคอนจึงชี้ไปยังกวานแจ กิลด์ครอส และกิลด์รีโรรีโรเร
“เจ้าพวกนั้นคือตัวการ! เราก็แค่กินพวกมัน! เราคงจะทนได้จนถึงตอนที่เราหาประตูมิติเจอ!”
ทุกคนแสดงสีหน้าไม่เต็มใจออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ในเมื่อความคิดในการกินมนุษย์ด้วยกันมันค่อนข้างจะเกินไปแม้จะเป็นพวกเขาก็ตาม
และพวกเขาก็ยังไม่หิวด้วย
อาคอนแสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมาเมื่อเห็นภาพนั้น
“ไอ้พวกโง่! มันต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนถึงจะหาประตูมิติเจอ! แล้วพวกนายคิดเหรอว่าไอ้เจ้าพวกนั้นจะมีชีวิตรอดได้ทั้งเดือนโดยไม่กินอะไรเลย!? เจ้าพวกนั้นมันจะพยายามกินอะไรล่ะ!?”
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น
หากมันเป็นแบบนั้น พวกเขาก็จะต้องถูกล่าอย่างต่อเนื่อง
ในเมื่อความสามารถของคนจากกิลด์ครอสและกิลด์รีโรรีโรเรนั้นสูงกว่าพวกเขามาก
‘และ… คนอื่นๆ อาจจะต่างออกไป แต่กิลด์รีโรรีโรเรต้องทำแน่ๆ’
ในเมื่อเจ้าพวกนั้นคือพวกที่เสียสติที่สุดในบรรดาคนบ้าด้วยกัน
ทุกคนเริ่มจะรวมตัวกันรอบกิลด์โอโคเนลลี่อย่างเชื่องช้า
ในตอนนั้นเอง ผู้นำของอคารอน โอเทออน ได้ตะโกนออกมา
“ใจเย็นก่อนมนุษย์! พวกเจ้าคิดหรือว่าพวกข้าจะมาที่นี่โดยไม่มีแผนอะไรเลย!? สามวัน! เราสามารถรักษาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ลาร์ซาร์ ได้ในเวลาแค่สามวัน! แล้วของเหลวร่างกายที่พวกเราสามารถดื่มได้จะออกมา!”
สีหน้าของทุกคนดูดีขึ้น
ในเมื่อมันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสู้
และในเมื่อมันคืออคารอนที่เป็นชาวพื้นเมืองที่เป็นคนพูดมันออกมา มันจึงค่อนข้างโน้มน้าวได้ดี
ในขณะที่ทุกคนกำลังพึมพำ อาคอนก็เริ่มกระวนกระวาย
‘บ้าเอ้ย เป็นแบบนี้ไม่ได้’
เขารับรู้ได้ถึงสายตาของเอนบิ อารินและคนอื่นๆ ที่จ้องมาที่เขา
หากนักผจญภัยทั้งหมดเปลี่ยนฝ่าย เขาก็จะตาย
ไม่สิ ตายยังถือว่าเป็นจุดจบที่ดีด้วยซ้ำ
ในเมื่อหัวหน้ากิลด์คนเก่า แอเรียล ไม่ใช่คนใจกว้างไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ตาม
แอเรียลเหมาะสมกับตำแหน่งผู้นำของกิลด์ที่ใหญ่เป็นอันดับสามในเขตสีส้ม กิลด์โอโคเนลลี่ ที่มีทั้งความร้ายกาจและเย็นชา
‘ฉันต้องฆ่าพวกเขาก่อนไม่ว่ายังไงก็ตาม!’
อาคอนตะโกนออกไปเสียงดัง
“อย่าเชื่อพวกมัน! ทำไมพวกมันต้องทำอะไรแบบนั้นให้มนุษย์ด้วย! ตื่นซะที!”
‘ไอ้ฉิบหายนั่น…’
เอนบิ อารินรับรู้ได้ถึงแรงและความคล่องตัวของเธอที่กำลังทะยานขึ้นสูง
อารมณ์ที่เปรอะเปื้อน ลักษณะพิเศษของเธอกำลังเปลี่ยนความกราดเกรี้ยวของเธอให้กลายเป็นรูน
เพราะไอ้เวรเสียสตินั่น สงครามเลยกำลังจะเกิดขึ้น
“นายจะทำยังไง? นายควรจะจัดการเรื่องนี้ก่อนที่นายจะทำเรื่องของนายนะ”
ฮันซูมองไปรอบๆ ก่อนจะส่ายศีรษะ
“ไม่ล่ะ ตอนนี้ฉันไปได้แล้ว”
“หืมมม?”
เอนบิ อารินขมวดคิ้วไปกับคำพูดที่เธอไม่อาจทำความเข้าใจ
อาคอนหัวเราะขณะที่เขามองไปยังเอนบิ อารินที่กำลังจ้องมายังเขา
‘เธอลงมือไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?’
ไม่สิ การที่พวกนั้นโจมตีเขาจึงจะเป็นผลลัพธ์ที่เขาต้องการ
หลังจากที่สร้างบรรยากาศแบบนี้ขึ้น อาคอนก็เรียกคนที่เขาเพิ่งจะรับเข้ามาใหม่มา
<มานี่ มีบางอย่างที่นายต้องทำ>
ราวกับว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้ๆ คนคนนั้นพลันปรากฏตัวขึ้นข้างกายอาคอนหลังจากที่ได้รับพิราบสื่อสาร
และหัวเราะขณะที่เอ่ยขึ้น
“ดูจะค่อนข้างรีบร้อนเลยนะ”
อาคอนพึมพำเสียงเบาเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ใช่ นายพูดถูก ก่อนหน้านี้นายเคยพูดใช่ไหม? ว่านายอยากจะเข้าร่วมกิลด์ของเรา”
อาคอนคิดถึงยามที่เขาพบกับหมอนี่
คนที่มาหาเขาที่ศีรษะของกรากอซตอนที่เขาแทนที่ตำแหน่งของแอเรียล
<ดูเหมือนว่านายจะมีเรื่องไม่พอใจหลายอย่างเลยนะ นับฉันด้วยสิ ฉันเองก็ไม่ชอบเจ้าพวกนั้นเหมือนกัน>
เขาเมินหมอนี่ในตอนนั้น
แม้ว่าเจ้าหมอนี่จะดูค่อนข้างมีประโยชน์ แต่เขาไม่ได้โง่พอที่จะเชิญใครก็ไม่รู้มาเข้าร่วม
แต่นี่คือโอกาสของหมอนี่
“โอ้ เวลาที่นายจะให้ฉันเข้าร่วมมาถึงแล้วเหรอ?”
อาคอนผงกศีรษะขณะพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเพื่อที่จะไม่ให้คนอื่นๆ ได้ยิน
“นายมีเจ้าคนที่ชื่อวองยูงที่นายควบคุมอยู่ใช่ไหม? สั่งเขาให้… แสร้งว่าเป็นคนของกิลด์รีโรรีโรเรและโจมตีพวกเรา ถ้านายทำงานนี้ได้ดี ฉันก็จะให้นายเข้ามาในตำแหน่งที่ค่อนข้างสูงในกิลด์ของเรา จะยังไงมันก็มีอีกหลายตำแหน่งที่ต้องหาคนมาใส่อยู่ดี”
มันจะเป้นปัญหาถ้ามันมีคนไปเข้าร่วมกับฝั่งอคารอนมากกว่านี้
เขาต้องจุดประกายไฟในตอนที่เขายังมีคนค่อนข้างมากและเริ่มการปะทะในตอนนี้
‘ถ้ากิลด์รีโรรีโรเรลงมือก่อน มันก็จะสมบูรณ์แบบ’
เขาสามารถเขี่ยเจ้าหมอนี่ทิ้งได้หลังจากนี้
ซังจินหัวเราะขณะที่เอ่ยขึ้น
“ยอดเยี่ยม ฉันก็แค่ต้องโจมตีคนของกิลด์โอโคเนลลี่ใช่ไหม?”
“ใช่”
“บังเอิญว่ามันกำลังจะเกิดขึ้นต่อหน้าฉันซะด้วยสิ นายควรจะรออีกสักหน่อยนะ”
“อะไร…”
ตูมมม!
“…หือ?”
อาคอนที่งุนงงจากคำพูดที่เขาได้ยินพลันรับรู้ถึงความรู้สึกแปลกประหลาดที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน
โลกทั้งใบกำลังหมุนโดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง
อืม มันเหมือนกับว่ามีสายตาของเขาเป็นจุดศูนย์กลางมากกว่า
และสายตาของเขาก็พร่าเลือนลงอย่างรวดเร็ว
‘เกิดบ้าอะไรขึ้น…’
อาคอนเพ่งสายตา
จะนั้นเขาจึงรับรู้ได้แม้ว่าสายตาจะพร่าเลือน
ดาบที่ตัดคอของเขา
‘ไอ้… เวร’
ศีรษะของอาคอนลอยอยู่กลางอากาศก่อนจะตกลงบนพื้นและกลิ้งออกไป
TL: คนปากมากมักจะตายเร็ว