บทที่ 124 ตำแหน่งของหลินเหรินเทียน

สำหรับภารกิจร่วมที่นำโดยธันเดอร์และหลินซิวหวู่ แผนก็คือ ทหารกลุ่มหนึ่งที่นำโดยธันเดอร์จะไปยังโรงพยาบาลทหารเพื่อตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ขณะที่อีกด้านหนึ่ง หลิวซิวหวู่จะนำกำลังของเขาไปเตรียมความพร้อมรอรับคำสั่งในที่ซึ่งไม่ไกลจากโรงพยาบาลนัก

การเผชิญหน้ากับชายสวมหน้ากากที่มีฝีมือร้ายกาจ ไม่ใช่เรื่องที่ใครก็สามารถจัดการได้ ทหารรักษาความมั่นคงของหลินซิวหวู่จะทำหน้าที่ดักซุ่มโจมตี ขณะที่การเข้าปะทะจะเป็นหน้าที่ของหน่วย NSA ภายใต้การนำของธันเดอร์

อาวุธยุทโธปกรณ์อันซับซ้อน รวมทั้งบุคลากรชั้นเยี่ยม เป็นทรัพยากรสำคัญของทหารหน่วย NSA และทหารหน่วยนี้ยังทำหน้าที่ดูแลความสงบระหว่างโลกคนธรรมดา และโลกยุทธภพอีกด้วย

“ไปกันเถอะ เธออยู่ใกล้ๆฉันไว้นะ”

เย่เฟิงดึงตัวซูเหมิงหานมาใกล้ๆเขา เพื่อรับประกันความปลอดภัยของเด็กสาว ชายหนุ่มเพียงแค่รอให้เรื่องนี้จบลง หลังจากนั้น พวกเขาจะได้กลับบ้านกันเสียที เย่เฟิงคิดว่าหากเขาได้กลับบ้านเมื่อไหร่ เขาจะเอาหินวิญญาณที่มีให้ซูเหมิงหานได้ดูดซับเพื่อเลื่อนระดับวรยุทธ์ เด็กสาวจะได้มีความสามารถในการป้องกันตัวเองบ้าง และเขาจะได้สบายใจขึ้นกว่านี้

เวลานี้ สมาชิกตระกูลหลินส่วนใหญ่ ต่างพากันแยกย้ายกลับไป เหลือเพียงแค่หลินเต๋อเทียน หลินเหรินเทียน และธันเดอร์ ซึ่งพวกเขากำลังจะมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล

ธันเดอร์นำทหารอาวุธครบมือไปด้วย 30 คน ขณะที่ทหารส่วนที่เหลือประจำที่สำหรับเตรียมพร้อมรับมือเหตุการณ์ต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นที่คฤหาสน์แห่งนี้ ทหารเหล่านี้ล้วนมีประสิทธิภาพในการต่อสู้ที่ดีเยี่ยม

เย่เฟิงและซูเหมิงหานนั่งอยู่ในรถบรรทุกลายพรางทหารคันหนึ่งด้วยกัน พวกเขานั่งถัดไปจากหลินเหรินเทียน ซึ่งทำให้หลินเหรินเทียนจับจ้องมองมาด้วยสายตาที่ไม่พอใจ

ตอนนี้ ลูกชายของเขาไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไรอยู่ที่โรงพยาบาล แต่เจ้าเด็กพวกนี้ยังมีหน้ามาพูดคุยกระหนุงกระหนิงกันอย่างสบายใจ แล้วแบบนี้จะให้เขาไม่อารมณ์เสียได้ยังไง?

เย่เฟิงจ้องมองไปยังหลินเหรินเทียนเช่นกัน เวลานี้เขาคิดในใจว่าหลินซิวเหวินต้องเป็นคนบ้ากามแค่ไหนกัน ถึงหลงเชื่อคำหลอกลวงของไซ่เชาหง และไปที่ห้องเสี่ยวฉีกลางค่ำกลางคืน สุดท้ายจึงได้กลายเป็นคนปํญญาอ่อนแบบนั้น

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เย่เฟิงเลิกสนใจความคิดดังกล่าว เพราะยังไง เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอยู่แล้ว

ซูเหมิงหานที่นั่งอยู่ข้างๆจับแขนชายหนุ่มไว้แน่น เธอไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตของเธอจะต้องพบเจอกับเรื่องราวต่างๆมากมายขนาดนี้ ถึงอย่างนั้น เด็กสาวยังเชื่อว่าเรื่องราวเหล่านี้จะจบลงก่อนถึงช่วงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นซูเหมิงหานก็คิดถึงเรื่องบางอย่างที่ทำให้เธอต้องเปลี่ยนใจ ตอนนี้เย่เฟิงได้สอนวรยุทธ์ให้เธอแล้ว ต่อจากนี้ไป ชีวิตเด็กผู้หญิงอย่างเธอคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว บางที สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้อาจจะเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสิ่งต่างๆอีกมากมายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต……

ไม่นานนัก รถบรรทุกลายพราง 2 คัน ที่มีคนนั่งอยู่มากมายกว่า 20 ชีวิต ก็มาจอดลงตรงหน้าทางเข้าโรงพยาบาลทหารของเมืองเหยียนจิง

ระบบการแพทย์ของเมืองเหยียนจิงนั้น เป็นที่รู้จักกันไปทั่วทั้งประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลทหารแห่งนี้ ด้วยอาศัยอิทธิพลของตระกูลหลิน หลินซิวเหวินถึงสามารถเข้ารับการรักษาตัวที่นี่ได้ และสำหรับเสี่ยวฉี ด้วยที่เธอเป็นเพื่อนสนิทของหลินชื่อฉิง เธอจึงได้รับการรักษาที่นี่เช่นกัน

แต่ไม่รู้ว่าความโชคร้ายจะดำเนินไปถึงเมื่อไหร่ นอกจากคนหนึ่งจะกลายเป็นคนปัญญาอ่อนแล้ว อีกคนยังถูกลักพาตัวไปอีก ยิ่งกว่านั้น ยังถูกลักพาตัวไปจากโรงพยาบาลทหารแห่งนี้! เห็นได้ชัดว่าชายสวมหน้ากากคนนี้มีฝีมือสูงส่งอย่างยิ่ง!

เมื่อรถบรรทุกเพิ่งเข้ามาจอด สีหน้าของหลินชื่อฉิงที่นั่งรออยู่ก็ฉายแววความกังวลขึ้นมาในทันใด หญิงสาวมารอหน้าทางเข้าโรงพยาบาลอยู่พักหนึ่งแล้ว

ซูเหมิงหานก้าวลงจากรถขณะยังคงจับแขนเย่เฟิงเอาไว้ เมื่อเด็กสาวมองเห็นหลินชื่อฉิงที่ยืนอยู่ตรงนั้น เธออดไม่ได้ที่จะหยิกแขนชายหนุ่มเบาๆ ซูเหมิงหานคิดถึงเรื่องในวันนี้ที่เย่เฟิงหายไปกับหลินชื่อฉิงทั้งวัน แถมยังมีเรื่องราวยุ่งเหยิงเกิดขึ้นมากมายอีก อย่างไรก็ตาม เวลานี้ หลินชื่อฉิงดูแล้วน่าดึงดูดเอามากๆ ซูเหมิงหานจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหึงขึ้นมา

เย่เฟิงยิ้มอย่างช่วยไม่ได้เมื่อถูกซูเหมิงหานหยิกเข้า เวลานี้เขาทำได้เพียงแค่รอให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกันสองคน และเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้เด็กสาวฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของชายสวมหน้ากาก แผนของไซ่เชาหง รวมทั้งเรื่องวรยุทธ์ของเด็กสาวเอง และอื่นๆ

หลินชื่อฉิงในชุดเสื้อเชิตกระโปรงสั้นนั้น ดูงดงามและมีเสน่ห์อย่างเหลือล้น หน้าอกทั้งคู่ของหญิงสาวยังสั่นขึ้นลงเป็นจังหวะเล็กน้อยยามที่เธอวิ่งเข้ามา สิ่งนี้ทำให้เย่เฟิงอดไม่ได้ที่จะจ้องมองอยู่หลายต่อหลายครั้ง

“น้องเย่ เราก็มาด้วยหรอ….”

หลินชื่อฉิงวิ่งเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างๆเขา ขณะสางผมของเธอเล็กน้อย หญิงสาวพบว่าเย่เฟิงกำลังจ้องมองมาแบบแปลกๆ

“เพราะผมรู้จักกับชายสวมหน้ากากน่ะครับ ผมเลยต้องมาที่นี่ด้วย”

เย่เฟิงพูดขณะยื่นมือออกมา “อ่อ อีกเรื่องหนึ่ง ผมอยากรู้ว่าชายสวมหน้ากากที่ลักพาตัวพี่เสี่ยวฉีไป มันสวมหน้ากากแบบไหนหรอครับ? แบบนี้รึเปล่า?”

ชายหนุ่มถามขณะล้วงเอาหน้ากากใบหน้าบูดบึ้งสีขาวออกมา

คำถามนี้เป็นสิ่งที่หลินเต๋อเทียนอยากรู้เช่นกัน เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่ขัดขวางการสนทนาระหว่างทั้งคู่ ชายวัยกลางคนเพียงแค่จ้องมองลูกสาวของเขา เพื่อรอให้เธอตอบคำถาม

“อืม…ไม่ใช่แบบนี้นะ มันสวมหน้ากากรูปโครงกระดูกสีดำ”

หลินชื่อฉิงส่ายหัวและอธิบายออกไปเล็กน้อย

เมื่อเย่เฟิงได้ยินดังนั้น เขาก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร ใช่จริงๆด้วย!

เวลานี้ ชายหน้ากากโครงกระดูกเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ลึกตื้นหนาบางของไซ่เชาหงดี ชายคนนั้นคงเดาไว้แล้วว่าเสี่ยวฉีต้องถูกหมายเอาชีวิต เพราะฉะนั้น เขาจึงรีบเอาตัวเสี่ยวฉีไปซ่อนไว้ก่อน แล้วทิ้งโน้ตเอาไว้

เย่เฟิงมั่นใจว่าตามที่อยู่ที่เขียนไว้ในโน้ต โรงงานร้างแทบชานเมืองแห่งนั้นต้องเป็นที่ซ่อนลับของไซ่เชาหงแน่นอน เมื่อใดก็ตามที่พวกตระกูลหลินได้ไปตรวจสอบที่นั่นอย่างละเอียด ความจริงทั้งหมดก็จะปรากฏออกมา!

‘ชายหน้ากากโครงกระดูกไม่ใช่ผู้ฝึกวรยุทธ์ เพราะงั้น เขาคงไม่มีทางจะลักพาตัวใครออกไปจากโรงพยาบาลทหารซึ่งมีการคุ้มกันที่หนาแน่นแบบนี้ได้แน่ เขาคงต้องใช้วิธีการบางอย่าง ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยากจริงๆ’

เย่เฟิงอดไม่ได้ที่จะคิดไปแบบนั้น

ขณะที่อีกด้านหนึ่งเวลานี้ หลินชื่อฉิงยุ่งอยู่กับการตอบคำถามของหลินเต๋อเทียนพ่อของเธอ และเมื่อหญิงสาวรู้ว่าศพของไซ่เชาหงถูกเผาไปในกองเพลิงแล้ว เธอก็แค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“แล้วแบบนี้จะไม่เป็นไรหรอคะ? อิทธิพลของเผ่ยเขิงกรุ๊ปในต่างประเทศไม่ใช่เล็กน้อย นอกจากนี้แล้ว คนพวกนั้นยังมีที่นั่งในวุฒิสภาของอเมริกาด้วย……”

หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจน ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะมีร่องรอยของความกังวลเล็กน้อย แต่มันก็ทำให้หลินเต๋อเทียนรู้สึกแปลกใจในตัวลูกสาวของเขา ทำไมเวลานี้ชื่อฉิงถึงดูสงบนัก? แถมยังขบคิดเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้อย่างใจเย็นอีก? การตายของไซ่เชาหงไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเสียใจเลยอย่างงั้นหรือ?

หลินเต๋อเทียนหันไปจ้องมองเย่เฟิงทันที ชายวัยกลางคนคิดว่าหากเขาบอกให้ผู้เฒ่าหลิน พ่อของเขาให้รู้ว่าเย่เฟิงมีความสัมพันธ์กับคนของโลกวรยุทธ์ ซึ่งผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นคือคนทำให้หลินซิวเหวินต้องมีสภาพที่น่าอนาถ ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว ไม่รู้ว่าพ่อของเขาจะยังยืนกรานเรื่องการหมั้นหมายอยู่หรือไม่?

ทุกคนต่างรู้ดีว่าหลินซิวเหวินเป็นหลานชายสุดที่รักของผู้เฒ่าหลิน แต่เย่เฟิงเป็นเพียงหลายชายของคนอื่น มันจะไปเทียบกันได้งั้นหรือ?

“ผมว่า พวกเราควรไปที่โรงงานร้างกันได้แล้วนะครับ”

เย่เฟิงเสนอความคิดเห็น “ถ้าพวกเราหาหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่าไซ่เชาหงวางแผนลับบางอย่างกับประเทศนี้ได้แล้ว เผ่ยเขิงกรุ๊ปก็ย่อมไม่กล้าจะเอาเรื่องประเทศเราแน่”

ไม่จะเป็นเรื่องการทดลองทางพันธุกรรม หรือยาเสพติดชนิดใหม่ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นของต้องห้ามในสากลโลก เผ่ยเขิงกรุ๊ปย่อมไม่ทำธุรกิจพวกนี้บนดินอยู่แล้ว

“แผนลับงั้นหรอ?”

ทั้งหลินเต๋อเทียน และหลินชื่อฉิงมองมายังเย่เฟิงอย่างเพ่งพิศ ทั้งสองคนล้วนไม่รู้ว่าไซ่เชาหงได้ดำเนินการแผนลับบางอย่างในประเทศจีนเลยแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของพวกเขา เย่เฟิงก็ทำได้เพียงถอนหายใจด้วยความเศร้าใจ ไซ่เชาหงแฝงตัวโดยการดำเนินการสิ่งต่างๆผ่านทางลูกน้องของมันมาตลอด และไม่เคยเปิดเผยตัวเองแม้แต่ครั้งเดียว ตระกูลหลินจึงไม่สงสัยในตัวไซ่เชาหงแม้แต่น้อย

“หัวหน้าครับ ผมก็มีข้อสงสัยเหมือนกัน”

ธันเดอร์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ที่ห้องใต้ดินของบ้านไซ่เชาหง พวกเราพบสิ่งของน่าสงสัยมากมาย เพราะงั้นแล้ว ผมคิดว่าคงดีกว่าถ้าพวกเรารีบไปที่โรงงานร้างนั่น”

ความหมายอีกอย่างของธันเดอร์คือ พวกเขาไม่จำเป็นต้องประจำอยู่ที่นี่อีกแล้ว เวลานี้มีเพียงหลินซิวเหวินคนเดียวที่อยู่ที่โรงพยาบาล ชายหนุ่มคนนั้นคงไม่จำเป็นต้องได้รับการคุ้มกันที่หนาแน่นขนาดนั้น

“แบบนั้นไม่ได้ ต้องมีคนค่อยคุ้มกันให้ลูกชายฉัน!”

หลินเหรินเทียนยืนขึ้นทันที สีหน้าของเขาที่อยู่หลังกรอบแว่นตาสี่เหลี่ยม แสดงออกถึงความไม่พอใจอย่างหนัก

“เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเถอะ”

หลินเต๋อเทียนตัดสินใจ ก่อนจะกวาดมือให้คนของธันเดอร์ รวมทั้ง เย่เฟิง ซูเหมิงหาน หลินชื่อฉิง และคนตระกูลหลินที่เหลืออยู่ไปพร้อมกัน

แค่คุ้มกันคนเสียสติ จำเป็นต้องใช้ทหารหน่วย NSA ด้วยหรือไง?

ถึงแม้ว่าหลินซิวเหวินจะเป็นสมาชิกของตระกูลหลิน แต่เดิมที หลินเต๋อเทียนไม่เคยชอบนิสัยที่หยิ่งยโส และเสเพลของเด็กคนนั้น หากหลินซิวเหวินเป็นลูกชายของเขา ก็ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นจะถูกเขาทุบจนตาย หรือตัวเขาจะอกแตกตายก่อนกัน

หลินเหรินเทียนไม่ได้ไปที่โรงงานร้างด้วย เขากระทืบเท้าด้วยความไม่พอใจขณะจ้องมองรถบรรทุกลายพรางที่ขับออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นดังนั้น เขาก็ยิ่งรู้สึกโกรธเกรี้ยวมากกว่าเดิม

ทันใดนั้น ความคิดบางอย่างก็แล่นขึ้นมาในใจเขา หลินเหรินเทียนจำได้ดีว่าก่อนหน้านี้ มีคดีเกี่ยวกับการฆาตกรรมหญิงชราคนหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนถูกหยิบขึ้นมาไต่สวนอีกครั้ง และโจทย์ที่ยื่นฟ้องคือคนของซูเหมิงหาน ซึ่งคู่กรณีคือคู่พี่น้องตระกูลเซี่ย

ใบหน้าของหลินเหรินเทียนพลันเปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นในทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาไม่มีทางปล่อยให้ซูเหมิงหานและเย่เฟิงได้พบเจอกับสิ่งดีๆแน่

คนในเมืองนี้ต่างรู้ดีว่า หลินเหรินเทียนนั้นมีตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาของศาลชั้นต้นในเมืองเหยียนจิง และยังเป็นหนึ่งในกรรมการของคณะกรรมาธิการตุลาการอีกด้วย!

……………………….

แปลโดย Solar Spark