บทที่ 122 ผมนี่แหละ ชายสวมหน้ากาก!

เย่เฟิงมาถึงเขตฉางผิงอย่างรวดเร็วเพื่อสอบถามที่อยู่ของคฤหาสน์ตระกูลหลิน

ในที่สุด เขาก็มาถึงด้านนอกของลานคฤหาสน์ตระกูลหลิน ด้วยทักษะสัมผัสวิญญาณ เย่เฟิงตรวจสอบบริเวณโดยรอบทั้งหมดและพบว่า รอบๆคฤหาสน์แห่งนี้มีทหารหน่วย NSA มากมายดักซุ่มอยู่ พวกเขามีอาวุธยุทโธปกรณ์ทุกอย่างตั้งแต่อาวุธเบาไปจนถึงอาวุธหนัก ชัดเจนว่าเพราะเหตุการณ์ในวันนี้ คฤหาสน์ตระกูลหลินถึงอยู่ภายใต้การคุมกันที่แน่นหนา

ทักษะสัมผัสวิญญาณทำให้ทุกสิ่งง่ายขึ้นมากสำหรับเย่เฟิง เขาสามารถรับรู้สถานการณ์โดยรอบในระยะ 100 เมตรได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่มีอยู่มากมาย จำนวนอาวุธ หรือแม้แต่จำนวนสุนัข นอกจากนี้ เขายังใช้เวลาเพียงแค่เสี้ยววินาทีในการรับรู้ถึงสิ่งเหล่านั้น

เย่เฟิงใช้งานทักษะล่องหนทันที เขาเดินทอดน่องไปรอบๆบ้านอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินมาถึงส่วนหนึ่งที่ดูคล้ายกับโรงแรม ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางคฤหาสน์แห่งนี้

ชายหนุ่มเดินเข้าไปในตึกนี้ทันที จากผลของทักษะสัมผัสวิญญาณ เขาพบว่าตอนนี้ซูเหมิงหานอยู่ในห้องหนึ่งที่ชั้นสามของตัวตึก นอกจากนี้ยังมีหน่วย NSA อาวุธครบมือสองคนยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง

หลังจากสังเกตดูอย่างระวัง เย่เฟิงสรุปว่าชั้นสามของตึกนี้อยู่สูงเกินไป มันสูงเกือบ 30 เมตรซึ่งเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เย่เฟิงจะกระโดดขึ้นไปบนนั้นโดยตรง หรือต่อให้ขึ้นไปได้ เขาก็คงไม่อาจพาเด็กสาวออกมาได้

ถึงอย่างนั้นตอนนี้ ชายหนุ่มมาที่นี่ด้วยตัวตนของเย่เฟิง ซึ่งเขาไม่สามารถแสดงวรยุทธ์ออกมาได้เด็ดขาดไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

ความจริงแล้วเขาชอบอารมณ์เวลาสวมหน้ากากเพื่อเข้าไปช่วยใครไม่น้อยเช่นกัน แต่ในสถานที่ที่ได้รับการคุ้มกันอันแน่นหนาแบบนี้ เขาจะมีความปลอดภัยมากกว่าหากเข้ามาในสถานะของเย่เฟิง

ดังนั้น ก่อนจะมาถึงหน้าประตูห้องโถง ชายหนุ่มปลดทักษะล่องหนออก ก่อนจะเตะใส่ประตูอย่างแรงแล้วเดินเข้าไปด้านใน

“ซูเหมิงหานอยู่ไหน?”

เย่เฟิงตะโกนออกมาเสียงดัง ถึงแม้ว่าเขาจะตะโกนแบบนั้นออกไปแบบนั้น แต่ความจริงแล้ว เขาไม่ได้ต้องการคำตอบอะไร ชายหนุ่มแค่ต้องการแสดงออกว่าที่เขามาที่นี่ เขาไม่ได้มาเพื่อยอมจำนน

เย่เฟิงรับรู้ก่อนหน้านี้แล้วว่ามีการประชุมกันอยู่ในห้องๆนี้จากทักษะสัมผัสวิญญาณ เขาพบว่ามีคนอยู่ในห้องนี้นับสิบคน และเกือบทั้งหมดเป็นคนตระกูลหลิน ยกเว้นเพียงแค่ธันเดอร์ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วย NSA

เมื่อเย่เฟิงบุกเข้าไปในห้องพร้อมกับตะโกนก้อง ทุกๆคนในห้องจึงยืนขึ้นอย่างพร้อมเพียง

“ธันเดอร์ จับตัวเจ้าหนูนี่ไว้!”

หลินเต๋อเทียนมีปฏิกิริยาคนแรก เขาทุบโต๊ะอย่างแรงด้วยความโมโห ก่อนจะชี้นิ้วไปยังเย่เฟิง

“เอาหน่า ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อต่อสู้เสียหน่อย แล้วจำเป็นต้องจับตัวผมไว้ด้วยหรือไง? ทำไมเราไม่มาคุยกันถึงเรื่องของชายสวมหน้ากากหน่อยละ?”

เย่เฟิงโบกมือ

เมื่อเขาพูดออกไปแบบนั้น สีหน้าของทุกคนในห้องพลันเปลี่ยนไปทันที เวลานี้ จะมีใครเล่าที่ไม่อยากรู้ว่าชายสวมหน้ากากเป็นใคร?

“แล้วมันเป็นใคร มันเรียนวรยุทธ์มาจากสำนักไหน แล้วใครเป็นอาจารย์ของมัน?”

แน่นอนว่าหลินเหรินเทียน พ่อของหลินซิวเหวิน เป็นคนที่เดือนร้อนที่สุดในเรื่องนี้ เขาถามคำถามออกมาเป็นชุดอย่างมีน้ำโห แม้จะยังมีท่าทีสงบ ใบหน้าที่สุภาพของเขาบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ

ชัดเจนว่าการที่ลูกชายของเขากลายเป็นคนปัญญาอ่อน นี่ทำให้เขารู้สึกโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง

“เขาเป็นเพื่อนของผม ส่วนคำถามพวกนั้น น่าเสียดายจริงๆที่ผมต้องขอบอกว่า ผมไม่รู้อะไรเลย”

เย่เฟิงพูดด้วยท่าทางที่ดูผิดแปลกไปจากปกติคล้ายกับอันธพาล ขณะเดียวกัน หลังจากเดินตรงมาสองสามก้าว ชายหนุ่มก็มาถึงโต๊ะประชุมและนั่งลงไปทันที

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้างั้นพวกเราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก”

ใบหน้าของหลินเหรินเทียนเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูไปในทันที ท่าทีสงบของเขาหายไปในทันใด หลินเหรินเทียนเวลานี้ ดูไม่ต่างอะไรกับวัวกระทิงคลั่ง

“เดี๋ยว เดี๋ยว ที่ผมพูดนั่นผมหมายถึง คุณไม่คิดว่านี่เป็นการเข้าใจผิดบ้างหรือยังไง?”

เย่เฟิงเปลี่ยนเรื่องแล้วถามออกไปด้วยท่าทีสงบ

“หึ ในเมื่อหลักฐานก็มีอยู่ทนโท่ แล้วฉันเข้าใจผิดตรงไหน?”

หลินเหรินเทียนเค้นเสียง ก่อนจะดันแว่นตาขึ้น

“ก็ดี”

ที่อีกด้านหนึ่ง หลินเต๋อเทียนเอ่ยขึ้น “ก่อนที่ไซ่เชาหงจะถูกฆ่า เขาโทรศัพท์มาบอกฉันว่าไม่ใช่แค่หลินซิวเหวินที่ถูกชายสวมหน้ากากทำร้าย แม้แต่เสี่ยวฉีก็ถูกลักพาตัวไปด้วย หลังจากนั้นที่บ้านของไซ่เชาหง เขาก็ถูกใครบางคนฆ่าตาย และฉันมั่นใจ100%ว่าเป็นชายสวมหน้ากากคนเดียวกัน ไม่ใช่แค่นั้น ชายสวมหน้ากากยังจุดไฟเผาศพของเขารวมถึงหลักฐานทั้งหมด…….”

“แล้วแรงจูงใจของชายสวมหน้ากากล่ะครับ?”

เย่เฟิงถามต่อไป

“แรงจูงใจยังไม่ชัดเจน แต่จากการสันนิษฐานเบื้องต้น ฉันคิดว่ามันต้องการอะไรบางอย่างในบ้านของไซ่เชาหง”

เวลานี้ ธันเดอร์อดไม่ได้ที่จะยืนขึ้นแล้วเสนอความคิดของเขาออกไป

“ผมหมายถึง การที่เขาทำร้ายเสี่ยวฉีกับหลินซิวเหวินต่างหาก เขาทำไปเพื่ออะไร?”

เย่เฟิงส่ายหัว ก่อนจะถามต่อไปอีก

“ความจริงแล้ว นี่ก็เป็นสิ่งที่ฉันสงสัย”

โดยไม่รอให้คนอื่นได้พูด ธันเดอร์ใช้โอกาสนี้พูดตามความเห็นของเขา ก่อนจะหันหน้าไปมองหลินเต๋อเทียนและหลินเหรินเทียน เขาพูดต่อไปด้วยเสียงโทนต่ำ “แต่ว่า ตามที่พวกเรารู้มา ใกล้ๆอพาร์ทเม้นท์ที่เสี่ยวฉีอาศัยอยู่ มีคนพบศพชายชราคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นคนของโลกยุทธภพ และยังมีระดับวรยุทธ์ถึง 20 ปี…….”

ที่นี่เวลานี้ มีผู้ทรงอิทธิพลระดับประเทศมากมายมารวมตัวกัน แน่นอนว่าพวกเขารับรู้และเข้าใจดีถึงการมีอยู่ของโลกยุทธภพ

ด้วยข้อมูลที่มีอยู่จำกัด เวลานี้ ไม่มีใครคิดออกว่าเกิดอะไรขึ้น สำหรับตอนนี้แล้ว มีเพียงคนสองคนที่สามารถไขข้อสงสัยเหล่านี้ได้คือเสี่ยวฉีและชายสวมหน้ากาก น่าเสียดายที่หนึ่งในนั้นยังคงนอนหมดสติอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนอีกคนก็หายสาบสูญ

“ยังไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องนี้ตอนนี้”

หลินเต๋อเทียนเคาะโต๊ะ ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำลึก “หลังจากที่ไซ่เชาหงตาย ธันเดอร์ได้ให้กลุ่มทหารช่วยกันสำรวจหลักฐานภายในบ้านแล้ว แต่ชายสวมหน้ากากกลับปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง มันไม่ใช่แค่ทำลายหลักฐาน แต่ยังสังหารคนของเราไปถึง 3 คน”

“น่าตลกดีนะครับ”

เย่เฟิงยิ้ม “โอเค สมมติว่าเพื่อนของผมเป็นคนลงมือทำลายหลักฐานทั้งหมดจริง ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นการทำลายหลักฐานที่อยู่ในบ้านของไซ่เชาหงด้วย แล้วคุณไม่คิดบ้างหรอว่า สิ่งที่เขาทำลายไปคืออะไร?”

ธันเดอร์มองมาที่เย่เฟิงก็จะพูดว่า “จริงๆแล้ว มีสิ่งน่าสงสัยอยู่ในบ้านหลักนั้นเยอะเหมือนกัน……”

“พอแล้ว!”

ขณะดันแว่นตาขึ้น หลินเหรินเทียนยืนขึ้นและชี้มายังเย่เฟิง “ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง ตอนนี้ซิวเหวินกับเสี่ยวฉีนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ไซ่เชาหงและทหารหน่วย NSA สามคนก็ถูกชายสวมหน้ากากสังหาร ในเมื่อหลักฐานก็ชี้มาที่มันคนเดียว เพราะงั้น มันต้องถูกดำเนินคดีตามกฏหมาย”

หลินเหรินเทียนหันไปมองรอบๆก่อนจะพูดต่อไปว่า “ทุกคนก็คิดเหมือนกันใช่ไหมล่ะ? ชายสวมหน้ากากไม่ใช่แค่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเผ่ยเขิงกรุ๊ปกับประเทศของเรา มันยังสังหารคนของหน่วยรักษาความมั่นคงระดับชาติด้วย ในเมื่อเป็นแบบนี้ แสดงว่ามันต้องการเล่นงานคนของกองทัพชัดๆ!”

ความจริงแล้ว หลินเหรินเทียนรู้สึกดูถูกคนของกองทัพไม่น้อย เพราะพวกเขาเลือกที่จะประนีประนอมกับคนของโลกยุทธภพ

ถึงอย่างนั้นเมื่อเทียบกับหลินเหรินเทียนแล้ว สมาชิกตระกูลหลินคนอื่นๆยังคงมีเหตุผล นั่นอาจเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้รับความเดือดร้อนอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“อืม เรื่องนี้คงต้องพูดคุยกันอย่างละเอียด”

“ใช่ พวกเราคงต้องรอให้หนูเสี่ยวฉีตื่นขึ้นมาอธิบายทุกอย่างให้แน่ชัด”

เดิมที เรื่องนี้หลินเต๋อเทียนซึ่งเป็นหัวหน้าตระกูลหลินและเป็นผู้นำหน่วย NSA จะเป็นคนจัดการ เขามีหน้าที่รับผิดชอบในการรักษาความมั่นคงระดับประเทศ และมีหน้าที่จัดการเรื่องความขัดแย้งระหว่างโลกของคนทั่วไปกับโลกยุทธภพ

อย่างไรก็ตาม หลินเต๋อเทียนนั้นคิดต่างจากคนอื่น

“เย่เฟิง แค่บอกพวกเรามาว่าชายสวมหน้ากากอยู่ที่ไหน ในเมื่อเธอเป็นหลายชายของผู้เฒ่าเย่ ฉันที่เป็นลุงของเธอ จะไม่ทำให้เธอต้องลำบากใจ”

หลินเต๋อเทียนพยายามเกลี้ยกล่อม ขณะมองมาด้วยแววตาที่แน่วแน่

ถึงอย่างนั้นในเวลานี้ เย่เฟิงกลับหัวเราะออกมา เขาดึงเอาหน้ากากใบหน้าบูดบึ้งสีขาวออกมาจากอกเสื้อ ก่อนจะสวมลงบนใบหน้า “ถ้าผมบอกว่าผมคือชายสวมหน้ากาก พวกคุณจะเชื่อไหม?”

การกระทำอย่างฉับพลันของเย่เฟิง ทำให้ทุกคนในห้องนี้รู้สึกตื่นตระหนกไปในทันที!

แม้แต่พวกคนตระกูลหลินที่มีท่าทีสงบเสมอมายังเบิกตากว้างขึ้นเช่นกัน อะไรนะ? ล้อเล่นใช่ไหม? เย่เฟิงคือชายสวมหน้ากากงั้นหรอ?

“ฮ่าๆๆ ดูปฏิกิริยาของพวกคุณสิ ช่างน่าหัวเราะจริงๆ”

เย่เฟิงยิ้ม เขาถอดหน้ากากออกก่อนจะโบกไปมาสองครั้ง “แค่ใครสวมหน้ากากแบบนี้ก็ถือว่าเป็นเพื่อนของผมแล้วรึไง? ในความคิดของพวกคุณ แค่หน้ากากอันเดียวก็ระบุตัวตนของคนๆนั้นได้แล้วงั้นหรอ? ยังงั้น ถ้าใครเดินไปซื้อหน้ากากแบบนี้ที่ขายอยู่ตามข้างถนนในราคาไม่ถึงสิบหยวน ก็สามารถเป็นชายสวมหน้ากากได้แล้วงั้นสิ?

……………………..

แปลโดย Solar Spark