บทที่ 10: สถานีกังนัม (6)
“พวกนายตัดสินใจได้รึยัง?”
ในขณะที่ฮันซูไปยังร้านสะดวกซื้อเพื่อไปเอาบางอย่าง เขาก็ได้ให้เวลาทั้งสามในการตัดสินใจ
และจากนั้นมิฮีจึงผงกศีรษะ
‘เอาเถอะ บางทีพวกเขาอาจจะรู้’
คุณสามารถตระหนักได้จากสถานการณ์ของแทซูน
ค่าสถานะนั้นสำคัญ แต่สกิลเองก็สำคัญมาก
ถ้าสกิลตกไปอยู่ในมือของใครบางคนด้านบน เช่นนั้นช่องว่างที่พวกเขาสร้างขึ้นด้วยการล่าอย่างขยันขันแข็งจะถูกบดขยี้ลงในเสี้ยววินาที
และเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนั้น คนที่เชื่อถือได้ในทั้งสามคนจะเป็นคนซื้อสกิลนั้น
‘สรุปก็คือ การเก็บรูนใส่ข้อมือก็มีประโยชน์’
รูนที่คนคนหนึ่งอาจมีไม่เพียงพอในการซื้อ ทว่ามันอาจถูกแก้ไขได้โดยการยืม
ฮันซูเอ่ยถามเสียงกลั้วหัวเราะ
“ใครที่จะเป็นคนเอาไป?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มิฮีจึงเอ่ยตอบ
“ฉันเอง”
‘อย่างที่คิด’
เขาเองก็คาดถึงเรื่องนี้ไว้เช่นกัน
เพราะว่าชายหนุ่มเห็นว่ามิฮีได้เก็บรูนมานาไปก่อนหน้านี้
ไม่มีใครโต้แย้งว่าใครเป็นคนฆ่าสัตว์อสูรตัวนั้น ดังนั้นเธอจึงหยิบมันไปได้อย่างเงียบๆ ดูเหมือนเธอต้องการที่จะปกปิดมัน
‘เอาเถอะ ยิ่งมีไพ่ลับในมือมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น’
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สกิลนั้นต้องการมานา
และเพราะว่าซังจินและแทซูนไม่มีมานา มันย่อมกลายเป็นภาระสำหรับพวกเขาในการลงทุนกับรูนสกิลนี้
แต่เพราะมิฮีได้มีรูนมานาและได้ยืนยันแล้วว่ารูนมานานั้นดรอปได้จากการล่าสัตว์อสูร
และจากสถานการณ์ของหญิงสาวที่ได้รับรู้ความสามารถของสกิลแล้ว มันย่อมเป็นเรื่องที่ดึงดูดอย่างมาก
อีกสองคนที่เหลืออาจรู้สึกปลอดภัยกว่าในการมอบมันให้หญิงสาวแทนที่จะให้อีกฝ่ายได้ไป
มิฮียืมรูนจากซังจินและแทซูนขณะที่จับมือกัน จากนั้นจึงเดินเข้าไปหาฮันซู
“ดี นี่รูน มีรูนคล่องแคล่วกับความเข้าใจอย่างล่ะสาม และรูนพลังกายกับความอดทนอย่างล่ะเจ็ด”
“ในเมื่อฉันบอกว่าจะลดให้ 5% ฉันจะเอารูนพลังกายไปแค่หกแล้วกัน”
“นายนี่ค่อนข้างละเอียดเลยนะ”
มิฮีมองไปยังชายหนุ่มด้วยสีหน้าไม่พอใจเล็กๆ
ด้วยค่าสถานะมากมายขนาดนั้น เขาย่อมแข็งแกร่งอย่างแน่นอน
เธออาจได้สู้เพียงไม่กี่ครั้ง แต่ก็สามารถบอกได้ในเสี้ยววินาที
แม้ว่าเธอจะได้สกิล แต่ก็ยังคงมีท่าทางหดหู่เล็กๆ
ฮันซูมองไปยังสีหน้าของหญิงสาวก่อนจะหัวเราะ
“อย่าคิดมากน่า ถ้าเธอเคยชินกับการได้อะไรมาฟรีๆ เธอจะตายเร็ว”
“…”
มันไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่ได้มาโดยไร้ข้อแลกเปลี่ยน
ในขณะที่ไล่ล่าสิ่งที่ดูไร้ค่า ราคาของมันจะหลบซ่อนอยู่ที่ที่อื่นและระเบิดออกมาในภายหลัง
มันไม่ใช่โรงเจที่ไม่มีใครพูดอะไรได้ถ้าคุณจะมากินแล้ววิ่งหนีไป
‘ไหนดูสิ’
เมื่องูหนามได้ตายแล้วและการแลกเปลี่ยนก็เสร็จสิ้น มันยังเหลือบางอย่างที่เขาต้องทำให้สำเร็จที่นี่
ฮันซูเริ่มมองไปรอบๆ สถานีรถไฟ
‘ถ้ามีงูหนาม หมายความว่าแร่จูเทอเรียมต้องอยู่ใกล้ๆ นี่’
และมันได้มีแร่สีส้มที่งอกออกมาลักษณะคล้ายผลึกใกล้สถานีรถไฟอยู่จริงๆ
ชายหนุ่มจับพวกมันด้วยมือทั้งสองข้างและดึงมันออก
กึก กึก
มันยืดหยุนอย่างมากแม้ว่าจะเป็นโลหะ มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังดึงยางอยู่
ชายหนุ่มเริ่มขึ้นรูปจูเทอเรียมในมือของเขา
สามคนที่เหลือมองไปยังแผ่นหลังของชายหนุ่ม
‘ตะปู? เข็ม?’
แทซูนมองไปยังโลหะในมือของอีกฝ่ายที่ถูกปั้นราวกับดินเหนียวอย่างตื่นเต้น
ฮันซูทิ้งจูเทอเรียมที่ถูกขึ้นรูปจนคล้ายเข็มยาวราว 20 เซนติเมตรไว้ที่มุมหนึ่งก่อนจะเดินตรงไปยังร่างของงูหนามและดึงแผ่นเกล็ดของมันออกมา จากนั้นจึงเริ่มผ่าท้องของมัน
คว๊ากกก
‘มันอยู่นี่’
ฮันซูแสดงสีหน้ายินดีออกมาเมื่อเขาเห็นไลเซสที่ยังไม่แห้งลง
ชายหนุ่มนำไลเซสทั้งหกออกมาจากนั้นจึงตั้งเตาและวางหม้อลงไป ก่อนเริ่มบีบของเหลวภายในลงในหม้อ
พรวด พรวด พรวด
ไม่ช้า หม้อนั้นก็ท่วมไปด้วยของเหลวสีเขียว
เมื่อของเหลวนั้นเริ่มที่จะเดือด ชายหนุ่มจึงเริ่มที่จะหักแผ่นเกล็ดของงูหนามและโยนพวกมันลงไป
เกล็ดของงูหนามนั้นทรงพลังมาก ทว่ามันไม่ได้แข็งเสียจนไม่อาจทำลายได้
‘มันดีไม่พอในการใช้เป็นอาวุธ’
ดังนั้นแล้วเขาจึงต้องสร้างขึ้นมาใหม่
ด้วยวิธีการเดียวกับที่งูหนามสร้างเกล็ดของมัน
เมื่อเกล็ดแข็งจมลงในของเหลวไลเซส พวกมันก็ละลายลงอย่างน่าตกใจ ฮันซูที่เห็นว่าของเหลวนั้นเริ่มเปลี่ยนไปเป็นสีเงินก็โยนจูเทอเรียมที่เขาขึ้นรูปไว้ก่อนหน้าลงไปในนั้นหลังจากที่ของเหลวนั้นกลายเป็นสีเงินทั้งหมด
ไม่ช้า ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น
วูบบบ
โลหะจูเทอเรียมที่ขนาดไม่เกิน 20 เซนติเมตรและแทบจะล้นออกจากหม้อได้เริ่มดูดซึมของเหลวอย่างรวดเร็ว
เข็มที่มีสีส้มเริ่มเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็วขณะที่มันดูดซึมของเหลวในหม้อ
ไม่ช้า ขนาดของมันก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
เข็มที่ขนาดไม่ถึง 20 เซนติเมตรก่อนหน้าได้ยาวกว่าหนึ่งเมตรและหนาราวข้อนิ้วโป้ง
‘เสร็จแล้ว… ดูทื่อไปหน่อย’
เขาตั้งใจขึ้นรูปมันอย่างสุดๆ แต่เพราะว่าเขาใช้มือในการปั้นและในระหว่างการเพิ่มขนาด ทำให้ปลายยอดของมันนั้นทื่อไปเล็กน้อย
ฮันซูคว้าเข็มนั้นไว้ด้วยพลังทั้งหมดของเขาและเริ่มที่จะเหลามันด้วยง้าวสั้น
แคร่กแคร่กแคร่ก
ความแข็งขนาดที่แทบจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทั้งๆ ที่ชายหนุ่มใช้แรงทั้งหมดจนเหงื่อไหลโชก
‘ใช่ มันควรจะแข็งเท่านี้เป็นอย่างน้อยนั่นแหละ’
ฮันซูมีสีหน้าพึงพอใจขณะที่พยายามอย่างหนักในการเหลามัน
‘อย่างที่คิด นายนี่ยอดเยี่ยมที่สุดเมื่อฉันต่อกรกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง’
หากการโจมตีของเขาสามารถสร้างบาดแผลให้อีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นการตัดย่อมเป็นทางเลือกที่ดี แต่เมื่อต้องสู้กับคู่ต่อสู้เป็นฝูงที่มีค่าความต้านทานกายภาพเพียงพอ การฟันย่อมใช้ไม่ค่อยได้
ถ้าคนคนหนึ่งมั่นใจในการสู้ระยะประชิด เช่นนั้นแทนที่จะใช้ดาบยาวในการฟัน สู้ใช้เข็มหรือมีดสั้นในการแทงจะสามารถทะลวงการป้องกันของคู่ต่อสู้ได้ดีกว่ามาก
ในขณะที่พื้นที่ในการโจมตีนั้นเล็ก และมีผลข้างเคียงเช่นเลือดออกรุนแรง ถ้าคุณรู้จุดอ่อนของศัตรูและมีความมั่นใจในการแทงจุดอ่อนนั้นอย่างแม่นยำ อย่างนั้นเข็มก็คือสิ่งที่ดีที่สุด
‘และถ้าฉันต้องการที่จะเจาะการป้องกันของมันในขณะที่สู้ มันก็ควรจะเท่านี้เป็นอย่างน้อย’
ฮันซูคิดถึงคู่ต่อสู้ที่เขาต้องก่อกรเพื่อที่จะครอบครองหนึ่งในสองชิ้นส่วนลับในพื้นที่ฝึกฝนขั้นแรก
<พื้นที่ฝึกฝน 1-11>
หมายเลข 11 ในอาวุธทั้ง 134 อันที่สามารถสร้างขึ้นได้ด้วยวัตถุดิบที่ได้รับจากสัตว์อสูรในพื้นที่ฝึกฝนแรก
ถ้าคุณคิดถึงว่าเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุต้องเผชิญกับปัญหามาอย่างยาวนานเพื่อที่จะสร้างอาวุธที่ดีที่สุดจากวัตถุดิบคุณภาพต่ำเหล่านี้ที่ได้จากพื้นที่ฝึกฝนแรก มันก็ควรจะแกร่งเท่านี้เป็นอย่างน้อย
ถ้ากิ้งก่ารุโกโกหรือถุงกินเนื้อปรากฏตัว เขาจะสามารถสร้างอาวุธที่แข็งแกร่งกว่านี้อย่าง 1-17 หรือ 1-96 ได้ แต่อย่างไรก็ตามงูหนามก็ไม่ได้แย่
มันอาจเป็นเรื่องยากที่จะได้รับอาวุธที่ดีกว่านี้ในพื้นที่ฝึกฝนแรก
‘ฉันควรจะเสร็จได้แล้ว’
ฮันซูที่เหลาขอบของเข็มนั้นจนคมหยิบเอาหนังก๊อบลินที่เขาเก็บไว้ก่อนหน้าออกมาและตัดมันจนกลายเป็นเส้นยาว ก่อนจะเทพิษลงไปในนั้นเล็กน้อย
ชี่
ฮันซูผงกศีรษะเมื่อเห็นว่าด้านในของแผ่นหนังนั้นละลายเล็กน้อย จากนั้นเขาจึงพันแผ่นหนังนั้นรอบส่วนที่ใช้จับของเข็มนั้น
ชายหนุ่มมีสีหน้าพึงพอใจเมื่อเขารู้สึกว่ามันเหมาะมือพร้อมกับเริ่มแทงมันออกไปในอากาศ
เมื่อเขาใช้มันในภายหลัง เขาสามารถใส่ยาพิษหรือพิษอัมพาตลงไปได้ตามสถานการณ์
“เราซื้อไอ้นั่นได้ไหม?”
แทซูนมองไปยังอาวุธของฮันซูด้วยสีหน้าโลภมาก
ถ้ามันเป็นไอ้นี่ เขาพร้อมที่จะซื้อมันด้วยรูน
ถ้าอีกฝ่ายพยายามขนาดนั้นเพื่อสร้างมัน เช่นนั้นความแข็งของมันย่อมยอดเยี่ยม
เขาไม่พอใจกับอาวุธในมือที่ทื่อลงจากการฟันเพียงไม่กี่ครั้งตั้งแต่ไม่นานมานี้ มันจึงล่อใจแทซูนอย่างมาก
ฮันซูส่ายศีรษะ
ตั้งแต่เริ่ม พวกนายไม่สามารถใช้มันได้จนกว่าจะมีระดับสูงกว่านี้
เพราะว่าความเสียหายจากมันนั้นมีขนาดเล็กมาก
และไอ้ของแบบนี้มันยากสำหรับพวกนายเป็นพิเศษ
‘เอาเถอะ พูดตามตรงมันขึ้นอยู่กับเจ้าของว่าจะขายหรือไม่…’
ถ้าไม่ติดว่าเขาสร้างมันเพิ่มไม่ได้แล้ว
“ฉันสร้างมันเพิ่มไม่ได้เพราะใช้ไลเซสไปหมดแล้ว”
“ชิ”
แทซูนมองไปยังก้นหมอที่ว่างเปล่าและเดาะลิ้น
ฮันซูทิ้งทั้งสามไว้แบบนั้นและเดินเข้าไปในรถไฟ
‘ถ้าฉันเข้ามา มันก็ควรจะขยับ’
เขาแค่ต้องขึ้นไปบนรถไฟและรับรางวัล การต่อสู้จบลงแล้ว
งูหนามนั้นแข็งแกร่งเพียงพอ แต่ถ้าหากมีบอสที่แข็งแกร่งกว่าเดิมออกมาหลังจากขึ้นมาบนรถไฟ แล้วนักผจญภัยวันแรกจะฆ่ามันได้อย่างไร
ชิ้นส่วนลับนั้นเพียงแค่หมายถึงมันเป็นภารกิจลับและไม่ใช่ภารกิจที่เป็นไปไม่ได้
ฮันซูเข้าไปภายในรถไฟและนั่งถัดจากหัวรถไฟ
ที่ที่เขาชอบ
และเขาก็พบว่ามีคนที่ขึ้นมาบนรถไฟถัดจากเขา
ชายหนุ่มหัวเราะขณะเอ่ยถาม
“ทำไมพวกนายขึ้นมาด้วยล่ะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งสามคนก็มีสีหน้ามึนตึงเล็กๆ
พวกเขาไม่โง่
รถไฟที่น่าสงสัยสุดๆ ในชั้นล่างสุดของสถานีรถไฟ
และราวกับว่าไฟฟ้ายังใช้ได้ในสถานีรถไฟพังๆ นี่ ไฟจึงเปิดอยู่
ความรู้สึกราวกับถูกรางวัล
กระทั่งในเกมก็มีอะไรแบบนี้และมักจะเป็นรางวัลใหญ่
ไม่ว่าใครจะมองอย่างไรมันก็ไม่ธรรมดา และฮันซู ผู้ที่มีพลังจิต ได้ขึ้นไปบนนั้น
และกระทั่งด้วยสีหน้าสบายใจ
พวกเขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายผ่อนคลายเช่นนี้ก่อนหน้าการต่อสู้ ดังนั้นโอกาสในการที่จะไม่มีการต่อสู้ใดๆ จึงสูง
มันก็ต้องตามอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ
แต่พวกเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อฮันซูผู้ที่ไม่เคยเอ่ยอะไรกับการที่พวกเขาตามอีกฝ่ายพลันเอ่ยขึ้น
“มันสำหรับคนคนเดียว ออกไป”
“หา?”
“รถไฟนี่ขึ้นได้แค่คนเดียว”
ชินส่วนลับนั้นมีไว้สำหรับคนเพียงคนเดียว
รถไฟนั้นกว้าง แต่มันจะขยับก็ต่อเมื่อมีคนอยู่บนนั้นแค่คนเดียว
‘มันทำให้ยากเสียจนคนยี่สิบคนต้องลงมาเคลียร์ แต่คนเพียงคนเดียวสามารถขึ้นมาได้…’
ถ้าพระเจ้ามีอยู่จริง เช่นนั้นเขาย่อมมีงานอดิเรกที่เลวร้ายไม่น้อย
“…มันอาจไม่เป็นแบบนั้น”
ซังจินพึมพำด้วยสีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
และแทซูนก็เอ่ยต่อจากชายหนุ่ม
“แล้วมีกฎข้อไหนเหรอที่บอกว่านายต้องไป? เราเองก็ลงมาด้วยความแข็งแกร่งของเราเหมือนกัน”
‘ความดึงดูดสินะ หืม’
ฮันซูเหลือบตามองไปยังซากของงูหนามหลังจากได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของทั้งสามพลันแดงก่ำ
มิฮีเองก็มีสีหน้าอับอาย แต่ก็ไม่ได้เข้าข้างอีกฝ่ายหรือพูดให้เขาแม้แต่น้อย
‘ฮ่าห์ เจ้าพวกโง่นี่’
ฮันซูหัวเราะอยู่ในใจ
มันไม่ใช่ว่าพวกนั้นไม่เข้าใจ
พวกเขาอาจจะสำนึกถึงอะไรบางอย่างได้
เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาส พวกคุณต้องคว้ามันไว้
ถ้าคุณเสียโอกาสนั้นไปเพียงเพราะความอายหรือศักดิ์ศรี คุณก็จะรู้สึกได้ว่ามันเป็นการกระทำที่ปัญญาอ่อนสุดๆ
ทั้งสามที่เอ่ยเช่นนั้นมีใบหน้าแดงซ่าน
พวกเขารู้ว่าพวกเขากำลังดึงดันในขณะที่พูดอยู่
‘แต่พวกเขายังไม่ตระหนักถึงอีกอย่างหนึ่ง’
“โอ้ แน่นอนว่ากฎแบบนั้นไม่มีอยู่เพราะมันไม่มีสิ่งที่เรียกว่ากฎในโลกใบนี้”
จากนั้นฮันซูที่จับเข็มในมืออยู่เปลี่ยนไปจับที่ปลายแทน
จากนั้นส่วนด้ามจับหนาก็จะกลายเป็นไม้กระบอง…
วูบบ วูบบบบ
กระบองในมือของชายหนุ่มวาดผ่านอากาศพร้อมเสียงน่าสะพรึง
“พวกนายจะออกไปตอนนี้ หรือว่าจะให้ฉันจัดการแล้วค่อยไปคุยกับทนายของพวกนายดีๆ ทีหลังแล้วพบกันที่ศาล เลือกเอา”
“…”
ฮันซูหัวเราะขณะมองไปที่ทั้งสาม
“ไอ้เวรบัดซบนั่น”
แทซูนสบถออกมาขณะที่มองภาพรถไฟที่แล่นออกห่างไปอย่างรวดเร็วด้วยเสียงฉึกฉัก
มันน่าดึงดูดอย่างมาก สิ่งที่อยู่ที่สุดปลายของสถานีรถไฟนั่น
และเพราะอย่างนั้นเขาจึงคิดอยู่ชั่วครู่
พวกเขาสามคนควรจะลองสู้กับหมอนั่นด้วยกันไหม
เขากระทั่งคิดอยู่ในใจ
‘แน่นอนว่าเขาคงไม่โหดร้ายขนาดนั้น เราเป็นเพื่อนกัน แถมยังมาไกลถึงขนาดนี้ด้วยกัน’
ถ้าพวกเขาและชนะพวกเขาจะสามารถเอาอาวุธของหมอนั่นมาได้ แต่ถ้าแพ้พวกเขาก็แค่ร้องขอความเมตตา
มันไม่ใช่การวัดดวงที่แย่
‘และถ้าหากฉันเอารูนทั้งหมดในข้อมือของหมอนั่น… และกระทั่งได้ไปยังสุดปลายของสถานีรถไฟ’
มันย่อมกลายเป็นรางวัลใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย
โอกาสที่จะสำเร็จนั้นต่ำ แต่มันมีความเสี่ยงต่ำและค่าตอบแทนสูง
แทซูนที่คิดเสร็จพยายามที่จะขยับมือไปยังมีดทำครัวที่เอว แต่ก็ต้องยอมแพ้ทันทีที่เห็นดวงตาของอีกฝ่าย
เหตุผลเดียวที่หมอนั่นยังคงพูดคุยอยู่เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้จู่โจมออกไป
‘เวรเอ้ย…’
อีกฝ่ายกำลังหัวเราะ และวิธีที่เขาใช้รับมือสถานการณ์ก็แค่งั้นๆ แต่ดวงตานั่นกลับต่างออกไป
หมอนั่นกำลังเฝ้ามองมาอย่างกระตือรือร้นด้วยดวงตาที่สามารถทำลายแรงทั้งร่างของคนคนหนึ่งได้
ราวกับว่าหมอนั่นกำลังคาดหวังอย่างมากว่าทุกสิ่งจะออกมาเช่นไร
‘เวร เวร…’
เขารู้สึกไม่ยุติธรรมเมื่อเขาหวาดกลัวเพียงแค่เพราะดวงตาของอีกฝ่าย แต่เขาก็ออกมาเพราะเขาไม่มีความกล้าที่จะสู้
“ขึ้นไปด้านบนเถอะ เราก็ต้องไปเหมือนกัน”
มิฮีเปิดปากพูดขณะที่มองไปยังแทซูน
ซังจินและมิฮีมีสีหน้าราวกับว่าสถานการณ์ควรจะออกมาเป็นแบบนี้อยู่แล้ว
แทซูนสบถอยู่ในหัว
‘ไอ้พวกปัญญาอ่อนเอ้ย นี่เป็นเหตุผลให้พวกแกไม่เหมาะสม’
ทำไมพวกนายถึงได้ทำสีหน้าอับอายแบบนั้น
ไม่ว่าใครก็ทำแบบเขาทั้งนั้นแหละ
‘ฉันไม่เสียใจ… ฉันไม่อาย’
แทซูนพึมพำอยู่ในใจพร้อมกัดฟันกรอดก่อนจะยืดตัวขึ้นและเดินนำออกไป
TL: มีคนอยู่ไม่เป็นแหละค่ะ
ติดตามข่าวสารที่รวดเร็วกว่าได้ทาง Facebook: Netear.ST นะคะ