ตอนที่ 39 พี่ใหญ่เย่และนายหญิงเย่
เมื่อซูเหมิงหานยืนขึ้นเพื่อช่วยเหลือเย่เฟิง สิ่งนี้สร้างความประหลาดใจกับแกคนแถวนั้นอย่างมาก
“สาวน้อย ผมขอถามคุณหน่อย เขาได้ต่อยคนอื่นจริงไหม?”
เมื่อพนักงานร่างอ้วนเห็นดังนั้น ก็พยายามเบี่ยงประเด็กไปเรื่องทำร้ายร่างกายคนอื่นทันที
เขามองออกอย่างง่ายดายว่าคู่ชายหญิงตรงหน้าต้องมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดาเป็นแน่ ยิ่งถ้าหากพวกเขาเป็นแฟนกัน เรื่องการล่วงละเมิดาทางเพศก็จะตกไป แต่สำหรับเรื่องทำร้ายร่างกายยังถือว่าเป็นเรื่องที่เอาความได้อยู่
“เขาต่อยชายคนนั้นเพื่อปกป้องหนูค่ะ”
ซูเหมิงหานควงแขนของเย่เฟิงและพูดว่า “อารมณ์ของเขาตอนแรกก็ไม่ค่อยดีด้วย ยิ่งกว่านั้น หนูเป็นคนผิดเองค่ะที่พูดแบบนั้นออกไป”
เมื่อเย่เฟิงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกแปลกใจ ชายหนุ่มไม่คิดว่าซูเหมิงหานจะมีความกล้าที่จะยืนขึ้นพูดเพื่อตัวเขาด้วย
“เอ่อ…”
เมื่อพนักงานร่างอ้วนเห็นว่าฝ่ายหญิงเข้าข้างเย่เฟิง จึงลังเลและไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไปดี
“งั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว”
พนักงานอีกคนดึงพนักงานร่างอ้วนที่กำลังยืนงงอยู่ออกมาและพูดว่า “พวกคุณนั่งลงก่อนนะครับ คุณจะสามารถออกจากสถานีได้เมื่อคุณเคลียความขัดแย้งได้แล้ว”
หลังจากนั้น พนักงานคนดังกล่าวจึงลากเพื่อนร่วมงานของเขาออกจากโบกี้ผู้โดยสารนี้
“เอ้ย นี่มันขัดกับกฎนะ แกนะทำอะไร?”
สิ่งนี้ทำให้พนักงานร่างอ้วนคนนั้นงงงวยมาก
“ไอโง่ เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับแก๊งอสรพิษสวรรค์เลยนะ เพราะงั้นหากพวกเราเข้าไปยุ่งไม่เข้าเรื่องล่ะก็…….”
พนักงานคนนั้นกระซิบบอกเพื่อนเขาเบาๆถึงความน่ากลัวของแก๊งอสรพิษสวรรค์
เมื่อพนักงานทั้งสองจากไป ทุกคนที่อยู่ในขบวนต่างก็พากันเงียบไปหมด ในเมื่อนี่เป็นแค่การทะเลาะกันของคู่รัก ส่วนชายในชุดสูทคนนั้นก็ดันเข้ามายุ่งไม่เข้าเรื่องจนโดนอัดไปตามระเบียบ เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็ถือว่าสร้างความหรรษาให้กับพวกเขาเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม คู่รักวัยรุ่นคู่นี่คงจะกลัวอย่างมากเป็นแน่ ที่ไปลงมือกับคนที่มีแก๊งอสรพิษสวรรค์ค่อยหนุนหลังอยู่
“เธอช่วยฉันทำไม?”
เย่เฟิงนั่งลงและถามออกไป
“ก็ทั้งหมดเป็นความผิดของฉันนี่ ทำไมฉันจะพูดช่วยนายไม่ได้ล่ะ?”
ซูเหมิงหานตอบชายหนุ่ม และกลับไปพิงที่หน้าต่าง
“งั้นหรอ”
เย่เฟิงยิ้มและพยักหน้า เขาคิดในใจว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมานี่ ก็เพราะว่าคำพูดว่า “สัตว์ร้าย”ที่ออกมาจากปากน้อยๆของเธอไม่ใช่หรือไง?
โชคดีที่ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขาเท่าไหร่ แต่หากเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดา เขาคงถูกกลืนกินไปในการต่อสู้ของพวกแก๊งอสรพิษสวรรค์ และถูกพวกมันตามล่า ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย
นี่คือผลจากการที่เขามีอำนาจ หากเขาไร้ซึ่งพลังและอำนาจ แค่เพียงการอยู่ด้วยกันกับสาวสวยอย่างซูเหมิงหาน ก็เป็นการเรียกปัญหามาให้เขาอย่างมหาศาลแล้ว
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้น เย่เฟิงจึงล้วนเอามือถือของเขาขึ้นมา และส่งข้อความไปหาชายหน้าบากให้รีบมาที่สถานีรถไฟเพื่อเตรียมเคลียเรื่องราวต่างๆ
“นี่ นายฟังนะ”
ซูเหมิงหานเงยหน้าขึ้น และมองมายังเย่เฟิงด้วยดวงตาคู่สวย พร้อมกับพูดว่า “นายต้องหัดควบคุมอารมณ์บ้าง ถึงนายจะมีพวกแก๊งอสรพิษสวรรค์คอยหนุนหลังอยู่ แต่การไล่อัดชาวบ้านไปเรื่อยแบบนี้ มันทำให้นายเดือดร้อนทีหลังรู้ไหม……”
เย่เฟิงจ้องมองไปยังใบหน้าของเด็กสาว ก็ไม่ต่างจากเดิม ใบหน้าของเธอยังคงงดงามและบริสุทธิ์ดุจหิมะที่พึ่งตกลงมาจากฟ้า ยามที่เธอแสดงความกังวลกับตัวเขา
“ครับผม”
เย่เฟิงหันหน้าไปหาพร้อมกับพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เดิมที เย่เฟิงไม่ค่อยเจอคนแบบสาวน้อยคนนี่มากเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกเทวะที่ใช้กฏแห่งป่าว่า ผู้แข็งแกร่งคือผู้ครอบครองทุกสิ่ง ปลาใหญ่ย่อมกินปลาเล็ก การไปยุ่งกับการต่อสู้ของคนอื่นไม่ใช่ความคิดที่ฉลาด เพราะมันอาจนำไปสู่ความตาย ในขณะที่เขายังอ่อนแอ และมีวรยุทธ์เพียงระดับ 10 ปี เขาได้อาจารย์คนสวยของเขาค่อยปกป้องมาโดยตลอด นั่นทำให้เขาสามารถมีชีวิตรอดในโลกใบนั้นได้
ถึงอย่างนั้นตอนนี้ เขากลับมีความรู้สึกแปลกๆบางอย่างในใจ ที่เวลานี้ เขาไม่มีอาจารย์คนสวยคอยปกป้องเขาอีกต่อไปแล้ว
“ฉันจำได้ว่าเขาไม่ใช่คนที่พูดง่ายแบบนี้นี่นา หรือจะเป็นเพราะเรื่องในเย็นวันนั้น ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองกันนะ……..”
ซูเหมิงหานคิดกับตัวเอง ทันใดนั้น เธอก็นึกถึงตอนที่พ่อของเธอให้เงินสองแสนกับเขาเพื่อแสดงความเหยียดหยาม นี่ทำให้เด็กสาวรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
เวลานี้ไม่มีอะไรจะปฏิเสธความจริงได้อีกแล้วว่าซูเหมิงหานในตอนนี้ มีความรู้สึกดีๆต่อเย่เฟิงในหัวใจ หากในคืนนั้นที่หน้าทางเข้าโรงพยาบาล ไม่มีหญิงสาวที่ชื่อหลงหวางเอ๋อปรากฏตัวขึ้มาแล้วละก็ เธอคงจะสารภาพรักกับเย่เฟิงไปแล้วก็ได้
……
เมื่อรถไฟหยุดลงที่สถานีเหยียนจิง หนุ่มสาวทั้งสองได้ลงจากรถไฟ และออกจากสถานี
หลังจากได้เห็นตึกรามบ้านช่องที่คุ้นเคย เย่เฟิงก็รู้สึกผ่อนคลายที่ในที่สุดก็ได้กลับมายังเมืองที่เขาเคยอยู่เสียที เพราะที่นี่ ตราบใดที่ไม่ได้เปิดเผยวรยุทธ์ออกไป เขาก็จะไม่มีปัญหาใดจากพวกสมาคมขอโลกยุทธภพ
“ลุง พวกมันออกมาแล้ว”
หลังจากที่พวกเขาทั้งคู่เดินออกมาจากสถานี เย่เฟิงก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย และเขาก็หันไปเจอกับชายในชุดสูทคนเดิม ที่ยืนอยู่กับกลุ่มชายในชุดเดียวกันและสวมแว่นกัดแดด ขณะชี้นิ้วมาทางเย่เฟิงและซูเหมิงหาน
คนกลุ่มนี้น่าจะเป็นพวกแก๊งอสรพิษสววรค์ แต่ไม่มีชายหน้าบากอยู่ด้วยในกลุ่ม
จากนั้น พวกมันจึงเดินเขามาหาเย่เฟิงและมองด้วยสายตาคุกคาม แสดงถึงความเป็นอันธพาลของโลกใต้ดิน พวกมันกำลังเดินไล่คนในแทบนั้นออกไปให้พ้นทาง ซึ่งไม่มีใครที่กล้าเข้าใกล้พวกมันเลยแม้แต่น้อย
เวลานี้ มีเพียงแค่เย่เฟิงและซูเหมิงหานที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนี้เพื่อรอพวกมันเขามาหา
“ไอ้เวรนี่ใช่ไหมที่เป็นคนต่อยหลานฉันบนรถไฟ?”
คนกลุ่มนั้นนำโดยชายหน้าเหลี่ยมที่จ้องมองเย่เฟิงด้วยสายตาเย็นชา ดูเหมือนคนๆนี้จะเป็นลุงของชายหนุ่มคนในชุดสูท นอกจากนั้นยังเป็นหัวหน้ากลุ่มย่อยของแก๊งอสรพิษสวรรค์ด้วย
“ในเมื่อมันมันแสดงท่าทางหยาบคายต่อผู้หญิงของฉัน แล้วยังพูดจาหมาๆกับครอบครัวของฉันอีก มันแปลกหรือไงที่ฉันจะต่อยมัน?”
เย่เฟิงจ้องไปยังชายหนุ่มในชุดสูท แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“ไอ้เด็กน้อย นี่แกยังกล้าทำตัวอวดดีในสถานการณ์แบบนี้อีกงั้นหรอ!?”
เมื่อชายในชุดสูทเห็นท่าทีใจกล้าบ้าบิ่นของเย่เฟิง มันทำให้เขาโกรธจัด เขาตั้งใจจะทำให้เย่เฟิงพิการ และจับผู้หญิงของมันมาเล่นสนุก แต่ในเวลานี้ เขาต้องสั่งสอนมันให้รู้ซึ้งถึงชะตากรรมของคนที่บังอาจท้าทายแก๊งอสรพิษสวรรค์ซะก่อน!
“หึ ฉันก็แค่พูดความจริงเท่านั้นเอง”
เย่เฟิงส่ายหัวแล้วเงยหน้าขึ้นมองไปยังที่ไกลๆ เขาเห็นชายหน้าบากกำลังวิ่งมาด้วยสีหน้าร้อนรนพร้อมกับโทรศัทพ์มือถือที่ถือไว้ในมือ เวลานี้เย่เฟิงคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกแล้ว
ขณะที่ชายหนุ่มในชุดสูทที่ยืนอยู่กับลุงหน้าเหลี่ยมของเขายังคงจ้องมองมายังเย่เฟิง และไม่ได้รับรู้ถึงชายหน้าบากที่กำลังวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นท่าทางที่แสนจะเฉยเมยของเย่เฟิง ก็ยิ่งสร้างความโกรธเกรี้ยวให้แก่พวกเขามากขึ้นและมากขึ้นไปอีก ทางเดียวก็จะทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นคือจัดการสั่งสอนบทเรียนแก่เย่เฟิงซะ
ชายหน้าเหลี่ยมโบกมือให้แก่ลูกน้องเพื่อเตรียมพร้อมกับหรับเข้าจู่โจมตลอดเวลา สำหรับพวกเขาแล้ว การจัดการกับเด็กนักเรียนมัธยมปลายคนเดียวไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร มันเหมือนกับการมาพักผ่อนหย่อนใจเสียมากกว่า เพราะเดี๋ยวแค่วินาทีเดียว การต่อสู้ก็จบลงแล้ว
แต่ทันใดนั้น เสียงที่คุ้นเคยก็ตะโกนดังมาจากด้านหลังพวกเขา “หยุดเดี๋ยวนี้!! พวกแกคิดจะทำบ้าอะไรกัน!?”
กลุ่มคนเหล่านั้น เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย จึงรีบหันหน้าไปยังด้านหลัง และพบกับหัวหน้าใหญ่ของพวกเขายืนตะโกนใส่ด้วยความโกรธที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“พี่ใหญ่ เจ้าหมอนี่มันกล้าต่อยหลานชายของผมบนรถไฟโดยไม่มีเหตุผล พวกเรากำลังพูดคุยเกี่ยวกับทางแก้ปัญหาอยู่เลย”
ชายหน้าเหลี่ยมสัมผัสได้ถึงอารมณ์ไม่ดีของบอสเขา และไม่กล้าที่จะพูดความจริงออกไป
“หึ แกคิดว่าฉันไม่รู้หรือไงว่าหลานของแกน่ะเป็นคนยังไง?”
ชายหน้าบากแค่นเสียงและมองไปยังชายหนุ่มในชุดสูทคนนั้น
“นี่….พี่ใหญ่”
ชายหนุ่มในชุดสูทสัมผัสได้ว่ามีอะไรไม่ปกติจากมือถือที่ชายหน้าบากกำลังกุมอยู่ในมือ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่
“จงจำใส่หัวไว้นี่คือญาติผู้น้องของฉัน และหลังจากนี้ หากพวกแกเจอเขาต้องเรียกเขาว่าพี่ใหญ่เย่และนายหญิงเย่ด้วย เข้าใจไหม!”
ชายหน้าบากพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังอย่างมาก พร้อมกับเดินไปแตะไหล่ของเย่เฟิงทำให้คนในแก๊งต่างงงเป็นไก่ตาแตก
พี่ใหญ่เย่กับนายหญิงเย่?
ใบหน้าของชายหนุ่มในชุดสูทและชายหน้าเหลี่ยมไปสีไปจนดูไม่ออกว่าเป็นสีอะไร บัดซบ ไอ้เด็กนี่มีสถานะสูงถึงระดับนี้เลยงั้นเรอะ นี่มันเหมือนตอนจบของเรื่องหมูกินเสือเลยชัดๆ!
ซูเหมิงหานที่ยืนอยู่เงียบๆข้างๆเย่เฟิง หลังจากที่เธอได้ยินชายหน้าบากเรียกเธอว่า“นายหญิงเย่” ใบหน้าของเธอก็พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงจนลามไปถึงหูและลำคอ เด็กสาวคิดว่าชายหน้าบากพูดมากเกินไป เขาไม่ได้รู้อะไรเลย แต่ดันพูดถึงเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก ถึงอย่างนั้น เย่เฟิงเป็นญาติกับหัวหน้าแก๊งอสรพิษสวรรค์อย่างนั้นหรอ มิน่าเล่า พ่อของเธอถึงอยากให้เธอเข้าหาตัวเย่เฟิง
……………..
แปลโดยทีมงาน GSI