หมู่บ้านหินล้อม(หมู่บ้านที่ถังซิ่วพึ่งไปสำรวจมาตอนก่อนหน้านี้)
ฮั่นชิงหวู(ครูประจำชั้นห้อง 10)
หยวนชูหลิง(ไออ้วนเพื่อนสนิท)
เฉิงเยี่ยนหนาน (เพื่อน ผญ คนแรกในห้องสิบ)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
“ลุงครับ , ขอโทษนะครับ ผมอยากรู้ว่าแถวๆหมู่บ้านหินล้อมนี้มีสัตว์ป่าอยู่บ้างไหมครับ?”
ถังซิ่วถามอย่างมีมารยาทกับชาวบ้านที่ตีนเขา
“เธอต้องการที่จะล่าเนื้อสัตว์? มีสัตว์ป่ามากมายบนเขาและพื้นดิน เธอสามารถหาไก่ฟ้า กระต่ายและหมูป่าได้ ในแม่น้ำเธอสามารถหาเต่าป่าและจระเข้ เธอยังสามารถพบสัตว์ป่าชนิดบินได้เยอะด้วย ”
เกษตรกรแก่ๆกำลังสูบบุหรี่และพ่นควันออก , เขาตอบอย่างสบายใจ
เมื่อได้ยินคำพูดของชายชรามันทำให้ถังซิ่วสุขใจ ชาวบ้านนั้นคือคนที่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและสถานการณ์รอบๆเขานี่มากกว่าเขา เขาใช้เวลาครึ่งคืนในบนยอดเขาและไม่สามารถหาอะไรได้ เขาไม่ได้คาดหวังที่จะได้รับข้อมูลดีๆอย่างนี้ได้โดยการถามจากชาวบ้าน
หลังจากที่ถังซิ่วถามว่าจะไปหาสัตว์ป่าเหล่านี้ได้อย่างไรเกษตรกรวัยชราคนนั้นก็ถอนหายใจยาว ๆ
“เฮ้อ, นั่นเป็นสถานการณ์ในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ตอนนี้เนื่องจากมีคนจำนวนมากที่กำลังล่าสัตว์ป่าในเขานี้ พวกเขาทำให้พวกมันตกใจกลัว และขณะนี้มีเพียงไม่กี่ตัวที่อยู่บนเขาเท่านั้น ต่อให้ยังมีเหลืออยู่บ้าง คนก็ไม่สามารถหาร่องรอยของพวกมันเจอ … ”
คำพูดของเกษตรกรคนนั้นเหมือนน้ำเย็นจากฟ้าทำให้หัวใจของ ถังซิ่วเปลี่ยนไป รอยยิ้มที่เพิ่งโผล่ขึ้นมาบนใบหน้าของเขาหายไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่กล่าวอำลาเกษตรกรแก่แล้วถังซิ่วก็เริ่มถามชาวบ้านคนอื่น ๆ
แต่เขาไม่ได้คิดว่า แม้ว่าเขาจะถามเกษตรกรอื่นๆอีกหลายสิบคนในหมู่บ้าน เขาก็ไม่ได้รับคำตอบที่เขาต้องการ ทำให้เขาเกือบจะตกอยู่ในความสิ้นหวัง ถ้าแม้แต่ชาวบ้านก็ไม่เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับสัตว์ป่าที่ดุร้ายมาก่อน นี่ไม่ได้หมายความว่าหมู่บ้าน หินล้อม นี้ไม่ได้มีสัตว์ดุร้ายใด ๆ ?
ถังซิ่วเป็นคนที่ชำนานในเรื่องของธรรมชาติ เมื่อคืนนี้ เขาไม่พบร่องรอยของสัตว์ร้ายเลย ซึ่งหมายความว่า น้ำยาแปลงสภาพร่างกาย ที่เขาต้องการจะสร้างขึ้นนั้นขาดส่วนผสมสุดท้าย เขาไม่ต้องการที่จะยอมรับความเป็นจริงนี้และตัดสินใจที่ส่งใบลาหยุดเรียนเพื่อขอลา ขณะที่เขาออกจากโรงเรียนในช่วงบ่ายและกลับไปที่ หมู่บ้านหินล้อม อีกครั้ง
เนื่องจากเขาไม่ได้รับข้อมูลใด ๆ ที่เป็นประโยชน์จากเกษตรกรในหมู่บ้านที่อยู่ตรงตีนเขา ถังซิ่วมุ่งหน้าตรงไปยังยอดเขาและสำรวจภูเขาด้วยตัวเอง
หน้าผาที่ยื่นออกมาสูงชันล้อมรอบหมู่บ้าน ระดับน้ำทะเลสูงกว่า 500 เมตรและสูงกว่าพื้นดิน 200 เมตร ภูมิประเทศล้อมรอบไปด้วยพื้นที่ราบที่แตกต่างกัน ให้ความรู้สึกเหมือนเทือกเขา ภูมิประเทศแบบนี้หายากมากในจังหวัด ชวนฉิง
ซางเซียนซ่งเคยได้ครอบครองหมู่บ้านนี้และประกาศตัวเองว่าเป็นกษัตริย์ของสถานที่แห่งนี้ เขาสร้างกำแพงเมือง ประตูเมืองและสร้างห้องโถงบรรพบุรุษของตระกูล ลี และอาคารอื่นๆ ดังนั้นเนินภูเขาจึงมีเส้นทางที่คดเคี้ยวและสลับซับซ้อนขึ้นไปจนถึงด้านบน
อย่างไรก็ตามเนื่องจากเส้นทางที่คดเคี้ยวและยาวเกินไป ถังซิ่วไม่ได้เดินทางไปตามถนน แต่เลือกที่จะปีนขึ้นเขาแทน
ระหว่างทางถังซิ่วเห็นเต่าที่อยู่ในป่าส่วนลึก เขายังเกือบจะถูกงูพิษกัดและแมงป่องต่อย, ซึ่งอาจทำให้คนอื่นรู้สึกดีใจเมื่อได้เห็นพวกมัน
แต่น่าเสียดายที่สัตว์ที่ถังซิ่วต้องการนั้นคือสัตว์ที่ดุร้าย นอกจากจะกินเพื่อระงับความกระหาย สัตว์ป่าเหล่านี้จึงไม่ได้ทำให้เขาสนใจเลยแม้แต่น้อย
ครึ่งชั่วโมงต่อมาถังซิ่วประสบความสำเร็จในการปีนขึ้นไปบนยอดสุด โดยมีเต่าสามตัวกระต่ายและงูสิบตัว กระเป๋าเรียนของเขาเต็มไปด้วยแมงป่องและสมุนไพรที่หายากมากมาย
ตอนแรกถังซิ่วไม่ได้วางแผนที่จะตามล่าสัตว์บนเนินเขา แต่เนื่องจากเขาคิดถึงร้านอาหารของครอบครัวและร่างกายที่ขาดสารอาหารของแม่ เขาจึงพาสัตว์เหล่านี้ไปแม้ว่าเขาจะไม่ต้องการก็ตาม เขาแค่ล่าสัตว์ป่าทุกตัวที่เขามองเห็นได้ (แมงป่องมันกินได้ด้วยหรอเนี้ย ? )
“เฮ้ เด็กน้อย นายเก่งหนิ พวกเราห้าคนสามารถล่ากระต่ายได้แค่ 2 ตัว แต่นายจับเต่าและงูได้เยอะมากเลยหนิ ”
“เด็กน้อย คิดว่าไงถ้าจะขายสัตว์เหล่านั้นในมือของนาย? บอกราคามา เราจะซื้อพวกมันทั้งหมด! ”
“เด็กน้อย จากการแต่งตัวของแก แกต้องเป็นคนในท้องถิ่นแน่ เอาสัตว์พวกนั้นมาเราจะซื้อ! ”
…………….
เมื่อถังซิ่วเพิ่งยืนและยืดตัวเขาขึ้น ห้าคนล้อมรอบเขาพร้อมมองเต่ากับงูพิษที่อยู่ในมือของเขาอย่างตาร้อน แต่สิ่งเดียวที่พวกเขายังไม่ได้ทำคือปล้นเขา
เมื่อเห็นว่าถังซิ่ว ปีนขึ้นมาจากใต้หน้าผาและดูเหมือนจะไม่มีรถใช้ คนเหล่านี้คิดว่าถังซิ่ว เป็นหนึ่งในชาวบ้านท้องถิ่นที่เฝ้าจับสัตว์บนเนินเขาสำหรับเงินค่าขนม พวกเขาพูดกับถังซิ่วด้วยท่าทางหยิ่งยโส พวกเขามองไปที่ถังซิ่วอย่างหยิ่งและไม่ได้แม้แต่แสดงให้เห็นถึงเคารพสักนิด
“ขอโทษด้วย แต่สัตว์เหล่านี้สำหรับบ้านที่ยากจนของผม ผมไม่สามารถขายพวกมันให้คุณได้ ”
ถังซิ่วเหลือบมองคนที่ล้อมรอบเขาและไม่ลังเลที่จะปฏิเสธ
ถังซิ่วสามารถมองเห็นรถสามคันได้อย่างชัดเจน Wrangler, Land Rover และ Mercedes-Benz คือรถทังหมดที่จอดอยู่ริมถนน ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าคนเหล่านี้มีฐานะร่ำรวยและมีสถานะสูง ถังซิ่วไม่ต้องการที่จะหาเรื่องพวกเขาและก็ตัดคำพูดของพวกเขา เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องยุ่งๆ
อย่างไรก็ตามถังซิ่วประเมินความมุ่งมั่นของคนเหล่านี้ต่ำไป
“เฮ้ เด็กน้อย นายจะขายสัตว์พวกนี้ให้คนอื่นราคาเท่าไหร่ ? เราจะเพิ่มราคาให้เป็นสองเท่า ตั้งราคาของนายมาและเราจะจ่ายเงินให้นาย! ”
ชายหนุ่มคนหนึ่งสวมเสื้อลายดอกไม้ มองไปที่ถังซิ่วและพูดอย่างมั่นใจ
“เกิดเป็นชายต้องรักษาคำพูดของตัวเอง แม้ว่าคุณจะให้เงินเป็นจำนวนมาก แต่ผมจะไม่ขายสัตว์เหล่านี้ให้กับคุณ! ”
เมื่อมองดูหนุ่มที่ใส่เสื้อลายดอกไม้ที่ดูคล้ายว่ามันต้องการจะกินเขา ถังซิ่วก็ขมวดคิ้วและตอบ
” ผมจะลงเขาแล้ว ”
ก่อนหน้านี้ถังซิ่ว ยังตั้งใจที่จะฝึกบ่มเพาะในสถานที่แห่งนี้ซักระยะหนึ่ง แต่เนื่องจากจุดที่มีเส้นชีพจรวิญญาณถูกยึดครองเขาจึงได้ทิ้งความคิดนั้นและวางแผนที่จะทำมันในวันอื่น
“โอ้ เราจะซื้อเฉพาะบางส่วนแล้วและนายสามารถเอาที่เหลือกลับไปที่บ้านของนาย และเราจะซื้อจากนายในราคาที่สูงเพื่อให้นายสามารถทำเงินได้ ”
วัยรุ่นในชุดลายดอกไม้ ให้คำแนะนำและยิ้มให้กับเขา
หลังจากได้ยินคำพูดของวัยรุ่นคนนั้นและเขาก็ไม่อยากอยู่กับคนเหล่านี้ ถังซิ่วกำลังจะพยักหน้าและขายให้เขา
แต่เสียงหยาบคายขัดจังหวะเขาเมื่อเขากำลังจะพยักหน้า
” ซูเรนเฟย์, นายนี้มันบ่าเบื่อจริงๆ ทำไมนายต้องต่อปากต่อคำกับเด็กที่สกปรกนี้ ? มันก็แค่สัตว์นิดหน่อย เราไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเลยเพียงแค่แย่งเอามันจากเขา! ”
คนที่คุยกำลังพูดเป็นผู้ชายที่มีหน้าตาที่ดุร้ายและสูง 1.9 เมตร
” ซางหยงจิน นั้นพูดถูกต้อง ทั้งหมู่บ้านนี้เป็นของเรา นับประสาอะไรกับแค่สัตว์เหล่านี้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ต้องการก็ตาม แต่เขาก็ต้องมอบสัตว์เหล่านี้ให้เรา ”
“เฮ้ เด็กน้อย เต่าเหล่านี้เป็นสัตว์ที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายของรัฐ การจับพวกมันนั้นผิดกฎหมาย นายต้องการให้เราลากนายออกไปที่สถานีตำรวจหรือไม่? ”
…………………………………………..
วัยรุ่นอีกสามคนโผล่เข้ามาพร้อมหัวเราะเสียงดัง พร้อมด้วยคำพูดของซางหยงจิน ขณะที่มองไปที่ถังซิ่วด้วยท่าทางเยาะเย้ย พวกเขาต้องการที่จะดูว่าถังซิ่ว จัดการกับสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างไร
ซูเรนเฟย์เงียบทันที เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้คาดหวังว่าเพื่อนของเขาจะเลือกที่จะข่มขู่ถังซิ่ว เพราะเขามักจะใช้เงินเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้อยู่เสมอ
แต่ ซูเรนเฟย์ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับความสุขของเพื่อน เพราะเขาได้ให้โอกาสกับเด็กคนนี้แล้ว มันเป็นถังซิ่วเองที่ไม่ได้รับเอาโอกาสนั้นไว้
“คุณคิดว่าการทำแบบนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากหรือเปล่า?”
เมื่อ ซูเรนเฟย์และกลุ่มของเขาคิดว่าเด็กคนนี้จะกลัวว่าจนอึราด แต่พวกเขาคาดไม่ถึงว่าเด็กคนนั้นจะตอบพวกเขากลับพร้อมเผยรอยยิ้มที่ยั่วยุ
“แก……แก … แกพูดเรื่องอะไรกันแน่เหรอ?”
ซางหยงจินตะลึงจนแม้แต่เสียงของเขาก็ติดขัด เมื่อเขาเห็นว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ทำตามที่จินตนาการของพวกเขาวาดไว้
คนอื่น ๆ ยังจ้องมองด้วยการแสดงออกอย่างงงงวยขณะที่พวกเขามองไปที่แต่ละคนและดูเหมือนจะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“ผมแค่คิดว่าพวกคุณทั้งหมดกำลังเรื่องนี้เนื่องจากความเบื่อหน่าย”
ถังซิ่วยิ้มและอธิบายด้วยเสียงเบาๆ ว่า
“ประการแรก การปล้นจากคนอื่นก็ผิด ยิ่งไปกว่านั้นคุณอาจจะไม่สามารถที่จะแย่งสัตว์เหล่านี้ไปจากมือผมได้ ประการที่สอง คุณไม่ต้องทำให้ผมกลัวโดยขู่ว่าจะพาผมไปที่สถานีตำรวจ ผมก็มีคนรู้จักบางคนอยู่ที่นั่น, สุดท้ายหมู่บ้าน หินล้อมตอนนี้ เป็นของรัฐไม่ใช่ของคุณ หลังจากที่คุณมีสิทธิในการพัฒนาคุณสามารถมีสิทธิ์ที่จะพูดคำเหล่านั้นได้ ”
ถังซิ่วใจเย็นเหลือเกินหลังจากพูดคำเหล่านี้
จนกระทั่งเงาของถังซิ่วหายไป ซูเรนเฟย์, ซางหยงจินและคนอื่นๆพึ่งจะตื่นตัวจากคำพูดพวกนั้น
“เหี้ยอะไรวะเนี้ย นี้มันห่าอะไรกัน , นี้เราพึ่งจะถูกหยามงั้นหรอ ? ”
“ทำไมเด็กเดี๋ยวนี้ถึงได้ป่าเถื่อนแบบนี้ ? ”
“ไม่มีทาง!!! ฉันไม่สามารถยอบรับได้ ฉันไม่เชื่อว่าฉันจะไม่สามารถให้เป็นบทเรียนกับไอเด็กเปรตนั้น ”
บางคนในกลุ่มก็คำรามด้วยความโกรธขณะที่พวกเขารีบวิ่งไปขึ้นรถและอยากจะให้บทเรียนที่น่าจดจำตลอดชีวิตกับถังซิ่ว
หลังจากที่ได้ไล่ล่าเขาไปสักสองสามนาทีและไม่ได้เจอถังซิ่ว, ซูเรนเฟย์และกลุ่มของเขาก็พึ่งตระหนักว่าคนที่พวกเขากำลังล่านั้นได้เดินเท้า พวกเขายังจำได้ว่าพวกเขากำลังเดินเล่นอยู่รอบๆ เนินเขาด้วยการเดินเท้าเพียงอย่างเดียวไม่สามารถจะล่าอะไรได้มากนักก่อนที่ถังซิวจะตบหน้าเขาด้วยคำพูด พวกเขาได้พูดคำสาปแช่งขณะที่เดินลงเนินเขา
ขณะที่รถสองสามคันค่อยๆ เลือนหายไปบนถนนคดเคี้ยว ร่างหนึ่งนั้นก็ได้กระโดดลงมาจากต้นสนบนยอดเขา
ถังซิ่วจริงๆแล้วไม่ได้เดินลงเขาไปแต่อย่างใด แต่เขามุ่งหน้าไปยังมุมที่ห่างไกลเพื่อซ่อนตัว
ตอนแรกถังซิ่วตั้งใจจะออกจากเขาชั่วคราวและกลับมาวันอื่น แต่เมื่อเขาบังเอิญเห็นคนเหล่านี้ เขาสรุปว่า เขาจะทิ้งแผนของเขาที่จะออกจากเนินเขา
ถังซิ่วได้ส่งใบลาพักไปหนึ่งวันเต็มเพราะต้องการสำรวจหมู่บ้านนี้ให้ทั่ว เขาไม่ต้องการที่จะกลับไปมือเปล่า
“มันจะมากเกินไปแล้วนะ เขาขอลาในช่วงเวลาที่สำคัญนี้แถมไม่ได้ขออนุญาตจากฉันและก็หนีไป ? นี้มันต่างอะไรกับหนีเรียน ? ”
ในขณะที่ถังซิ่วกำลังสำรวจหมู่บ้านหินล้อมนั้น, ฮั่นชิงหวูกำลังโกรธมากเมื่อเธอคว้าใบลาจากมือของหยวนชูหลิง
“หยวนชูหลิงเธอเป็นเพื่อนสนิทของเขา! เธอปล่อยให้เขาทำสิ่งที่ขาดความรับผิดชอบนี้ได้ไง ? ทำไมเธอไม่ห้ามและให้คำแนะนำแก่เขาก่อน … ”
ในขณะที่กำลังบ่นถึงนิสัยไม่ดีของถังซิ่ว, ฮั่นชิงหวูได้หันปากกระบอกปืนของเธอไปยังหยวนชูหลิงแทน ราวกับว่ามันเป็นหยวนชูหลิงที่เป็นคนแนะนำให้ถังซิ่วหนีเรียน
ถ้าเป็นฮูฉิวเชง ( *ครูเก่าจากห้อง 5 ) กล้าที่จะตะโกนใส่เขาแบบนี้ หยวนชูหลิงจะต้องด่ากลับแล้ว แต่เมื่อต้องเผชิญกับฮั่นชิงหวู ,หยวนชูหลิงนั้นเหมือนกับเด็กนักเรียนประถมที่เพิ่งทำผิดพลาดและกลัวที่จะหายใจ
“ครูฮั่น คุณไม่สามารถโทษหยวนชูหลิงสำหรับเรื่องนี้ได้, ถังซิ่วทิ้งใบลาไว้และวิ่งหนีไป เขาไม่ได้ให้โอกาสเราพูดเลย ”
เมื่อเห็นฮั่นชิงหวู กำลังตำหนิหยวนชูหลิงอยู่แบบนี้ เฉิงเยี่ยนหนานคิดว่าถ้าปล่อยไปแบบนี้ครึ่งวันก็คงไม่จบจึงได้พูดขึ้นมา
อันที่จริง ถังซิ่วได้รู้ว่าการลาพักของเขาจะส่งผลต่อหยวนชูหลิง เขาจึงปล่อยได้ฝากใบลาไว้ที่เฉิงเยี่ยนหนาน เพื่อให้เอาไปให้ฮั่นชิงหวูแทน , แต่เฉิงเยี่ยนหนานกลับคิดว่าถังซิ่ว นั้นล้อเธอเล่น เธอจึงได้เอาใบลาไปให้หยวนชูหลิง
เมื่อ ฮั่นชิงหวู เพิ่งเข้าห้องเรียนมาได้ หยวนชูหลิงที่เหมือนอยู่ดีๆก็ไม่มีสมองได้เอาใบลาไปส่งเธอ และลากตัวเขาเองให้ต้องพบเจอกับพายุกระหน่ำคำตำหนิที่ฮั่นชิงหวูปล่อยออกมา