นี่เป็นขาของสัตว์อสูรที่มีสีทองอร่าม ดูงดงามและหรูหรา ทั้งหนาและแข็งแรงสมแล้วที่เป็นสัตว์ร้ายในตำนาน แม้ว่าจะตายไปแล้วแต่ก็ยังหลงเหลือความน่าหวาดหวั่น ลำแสงสีทองที่แผ่พุ่งออกมาทำให้ผู้คนรู้สึกยำเกรง

ในช่วงเวลานี้ไม่ต้องเอ่ยถึงสัตว์ร้ายกว่าร้อยตัวที่อยู่ภายนอก หรือแม้นกอสูรจำนวนกว่าร้อยตัว ทั้งจระเข้อสูร เซเบิ้ลโลหิต หรืออสรพิษม่วงก็ต้องก้าวถอยหลังอย่างช่วยไม่ได้เพราะผลกระทบจากรัศมีที่แสนน่าหวาดหวั่น
ท้ายที่สุดกลับเป็นแม่อินทรีเกล็ดมรกตที่มีระดับสูงพอที่จะเคลื่อนได้เป็นตนแรก ตามด้วยสัตว์อสูรอีกสองสามตัว หนึ่งในนั้นมีลักษณะคล้ายยูนิคอร์นผสมกับกิเลน
พวกมันต่างก็เป็นทรราชแห่งนอกหุบเขามืด ที่มาจากพื้นที่คนละส่วนกับอินทรีเกล็ดมรกต
ด้วยเสียงกึกก้อง เจ้าอินทรีเกล็ดมรกตสยายปีกถอยออกไป สั่นสะท้านไปทั้งหินและภูเขาส่งผลให้เศษดินและทรายปลิวกระจายไปทั่วทั้งท้องฟ้า นับว่าเป็นการเปิดเผยชิ้นส่วนของซุนหนี่อันแสนล้ำค่าออกมา
นกอสูรตัวอื่นๆก็แสดงอาการไม่ต่างกันนัก พวกมันรวมกลุ่มเข้าด้วยกันเพราะการสั่นสะเทือนที่เกิดภายในอากาศ บรรดาสัตว์ร้ายเองก็ตื่นตระหนกจนต้องล่าถอยออกมา
สัดส่วนที่ปรากฏแก่สายตาล้วนยอดเยี่ยมทั้งมีรัศมีสีทองดูน่าเคารพยำเกรง ประกอบกันกลายเป็นสัตว์อสูรขนาดมหึมา โดยมีรูปลักษณ์เป็นพญาราชสีห์ที่น่าเกรงขาม บริเวณตรงส่วนหัวมีเขามังกรทองขนาดยักษ์ประดับอยู่และมีเกล็ดสีทองอร่ามปกคลุมทั่วหน้าผาก ทั่วทั้งร่างกายเปล่งประกายแสงสีทองมันวาวเนื่องจากขนที่ดูนุ่มลื่นสีทองคำ
นี่คือ ‘ซุนหนี่’ ผู้สืบสายเลือดแห่งโบราณกาล แม้ด้วยข้อเท็จที่ว่าซุนหนี่ไม่ได้เป็นสายเลือดชั้นสูงที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ที่สุด แต่แม้กระทั่งสวรรค์ก็ไม่อาจคัดค้านได้ว่ามันเป็นสายเลือดโบราณที่แท้จริง ทั้งยังได้รับความเคารพจากภายในหุบเขามืดแห่งนี้
แม้ไม่ได้ถือว่าเป็นสัตว์ร้ายที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ด้วยความกว้างของลำตัวเพียงหกเมตร อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของสัตว์ร้ายไม่ได้วัดจากขนาดของร่างกาย  ร่างของซุนหนี่ที่อยู่ตรงหน้าพิสูจน์ได้ดีที่สุด

ทั่วร่างของซุนหนี่ดูเหมือนอาบไปด้วยสีทองอร่าม แม้ว่าจะตายไปแล้วก็ยังคงทรงพลังอำนาจไม่เสื่อมคลาย รัศมีแห่งความน่าเกรงขามหนาแน่นไปทั่วทุกอณูอากาศ ประกายทองคำเปล่งแสงสว่างสาดกระจายไปทั่วทั้งหุบเขาแห่งนี้
ซุนหนี่ สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในหุบเขาแห่งนี้
ทั้งอินทรีเกล็ดมรกต เสือดาวหู่ ยูนิคอร์นเพลิงเมฆา และสัตว์อสูรและนกอสูรที่อยู่ในระดับเดียวกันต่างก็เริ่มเคลื่อนไหลในทันที เมื่อแน่ใจแล้วว่านั่นคือร่างอันล้ำค่าของซุนหนี่อย่างแน่นอน ในตอนนี้ทุกตนต่างเข้าตะลุมบอนกันอย่างดุเดือด
เสือดาวหู่ตัวนั้นส่งเสียงขู่ยาวๆ ที่ด้านหลังปลดปล่อยแสงสว่างสีเงินเป็นประสายฟ้าออกจาข้างหลัง เป็นพลังเจตลักษณ์เฉพาะตัวของมันนั้นเอง
ฉัวะ!!
สัตว์ร้ายตัวมหึมากรีดร้องออกมา แสงนั้นแหลมคมอย่างไม่น่าเชื่อแล้วพุ่งทะลวงไปที่หน้าอกทะลุขั้วหัวใจแล้วทะลวงออกด้านหลัง
อินทรีเกล็ดมรกตบินไปมาเป็นเวลานาน แล้วเริ่มเข้าไปประหัตประหารด้วยการโจมตีอย่างบ้าคลั่ง แสงสีฟ้าคล้ายแสงจันทร์ถูกยิงออกมาเป็นเหมือนลำแสงกวาดจากไปชายป่าฟากหนึ่งไปถึงตีนเขาอีฟากหนึ่ง สัตว์ร้ายหลายโดนตัดเป็นสองส่วนอย่างดุดัน
การจู่โจมที่แสนจะไร้ปราณี โดยเล็งเป้าไปที่สัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งกว่าตัวอื่นเป็นอันดับแรก ส่วนสัตว์ร้ายและนกอสูรจำนวนร้อยกว่าตัวล้วนไม่ต่างจากเหยื่อที่จะเข่นฆ่าตอนไหนก็ได้
ทำให้พื้นที่แห่งนี้อบอวลไปด้วยกลิ่นคาวโลหิตอย่างเข้มข้น แต่มีสัตว์ร้ายบางตัวที่พุ่งไปอย่างมุทะลุโดยมีเจตนาต้องการไปฉีกทึ้งร่างของซุนหนี่เพื่อหวังจะได้กินเนื้อหรือเลือดอันแสนล้ำค่าของซุนหนี่
สัตว์ร้ายชนชั้นลอร์ดทั้งหลายคำรามออกมาอย่างดุร้าย รวมถึงอินทรีเกล็ดเขียวด้วย พวกมันทั้งหมดเข้าประหัตประหารบรรดาสัตว์ร้ายที่ต่ำชั้นกว่าเพื่อขัดขวางไม่ให้เข้าไปหาร่างของซุนหนี่ได้
เชี๊ย!!…

เสียงหวีดหวิวผ่าอากาศจนสามารถรับรู้ได้ถึงความคมกริบบาดลึกไปถึงขั้ววิญญาณของผู้คน มุสึกม่วงครามที่มีขนาดพอกับเด็กๆแห่งหมู่บ้านหินผากระโจนมาจากด้านหลังของอินทรีเกล็ดเขียว
“ท่านป้าอินทรีระวัง!!” เด็กน้อยร้องเตือนออกมาอย่างตื่นตระหนก
ในสายตาของเจ้าราชาหนูม่วงครามนั้น อินทรีเกล็ดมรกตถูกจัดไว้ว่าส่งผลคุกคามต่อมันมากที่สุด เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นเป็นต้องจัดการเป็นอันดับแรก
หากเปรียบเทียบจากขนาดตัวกับอินทรีเกล็ดมรกตแล้วถือว่ามีขนาดเล็กมาก แต่พลังในการโจมตีนั้นแข็งแกร่งไม่น้อย หากว่าโดนกรงเล็บของมันเข้าไปโดยตรงแล้วสามารถบาดเจ็บได้ด้วยการโจมตีครั้งเดียว เพราะกรงเล็บของมันมีประสิทธิภาพในการทะลวงเกราะป้องกันค่อนข้างสูง
ฉีเฮ่าค่อยเริ่มโจมตีกลับด้วยพลังของเขา กงจักรจันทราหมุนควงไล่ตามโจมตีเข้าใส่มุสิกม่วงคราม
แม้ว่าอินทรีเกล็ดมรกตจะพิโรธมากขนาดไหน แต่มันก็สามารถควบคุมตัวเองได้ มันเคยได้รู้มาว่ามีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังอยู่ตนหนึ่งที่สามารถสร้างความครั่นครามให้เหล่าสัตว์ร้ายจำนวนร้อยกว่าตัวได้ ราชันย์มุสิกที่กินโลหะเป็นอาหารและมีฟันและกรงเล็บที่สามารถทะลวงการป้องกันได้
ร่างของเจ้าอินทรีเกล็ดมรตกเปล่งแสง พลังเจตลักษณ์ในรูปแบบอักขระถูกผสานเข้าด้วยกันอาบไล้ไปทั่วร่างของแม่อินทรีเหมือนดั่งจะกลายร่างเป็นประกายสายฟ้า แล้วแผ่พลังเข้าโอบล้อมราชามุสิกในระยะประชิดโดยมีเป้าหมายเป็นการบดขยี้ด้วยพลังเจตลักษณ์ให้เละเป็นโจ๊ก
เมื่อมีโอกาสงามอยู่ตรงหน้า เฮ่าน้อยก็ควบคุมกงจักรให้โจมตีไปที่ราชามุสิกที่ตอนนี้โดนพลังของแม่อินทรีโอบล้อมทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เคร้ง!! เสียงเสียดสีของโลหะ การโจมตีกลับไม่สามารถเจาะทะลวงเกล็ดของมันได้ เฮ่าน้อยเบิกตากลมโตกว้างด้วยความตกตะลึงแล้วตะโกนออกมา “อีกครั้งเป็นไง”
เป๊ง เป๊ง ฉัวะ….
เกิดประกายไฟไปทั่วทุกทิศทางด้วยกงจักรจันทราที่กระหน่ำเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง จนสุดท้ายเกล็ดของราชาหนูม่วงครามก็ปริแตกจนเลือดทะลักออกมา แม้ว่าเลือดจะหลั่งไหลออกมามากแค่ไหน แต่กระดูกที่แฝงพลังเจตลักษณืของมันยังคงแข็งแกร่งจนไม่สามารถตัดได้อยู่ดี
แต่ฉีเฮ่าก็ยังคงไม่หยุดยั้ง เมื่อกงจักรอันแรกหายไป กงจักรอันที่สองก็ถูกสร้างขึ้นมากระหน่ำใส่ราชาหนูม่วงครามไม่หยุดหย่อน สุดท้ายแล้ว แกร็ก!! เป็นเสียงของกระดูกแตกหักมาจากกระดูกของราชาหนูม่วงครามที่ไม่สามารถรับการโจมตีอย่างหนักหน่วงได้อีกต่อไป
ในขณะเดียวกัน อินทรีเกล็ดมรกตใช้พลังของตนที่มาจากการประสานอักขระที่เกิดจากพลังเจตลักษณ์ สร้างรอยแผลมากมายทั่วร่างกายให้กับราชาหนูม่วงครามอย่างน่ากลัว มันได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงที่จุดตายทำให้กระเด็นไปฝังใต้ภูเขาหิน

และในขณะที่จ้าวเวหาตัวนี้เกือบจะถูกสังหาร หลังจากนั้นก็ไม่มีภัยคุกคามใดๆที่จะส่งผลต่ออินทรีเกล็ดมรกตได้อีก แม่อินทรีทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าในทันที เพื่อเฝ้ารอให้ความยุ่งเหยิงนี้ผ่านพ้นไปก่อนจะเริ่มต่อสู้อีกครั้ง
ในความเป็นจริง ไม่ใช่แค่อินทรีเกล็ดมรกตเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ หลังจากเริ่มโจมตีไปเล็กน้อย สัตว์ร้ายระดับลอร์ดตัวอื่นๆก็ตัดสินใจล่าถอยออกมาเพื่อไม่ให้ตนเสียเปรียบตนอื่นๆ สร้างสมดุลอำนาจระหว่างกันและกัน
ทันใดนั้นเอง เกล็ดทั่วทั้งร่างกายของอินทรีเกล็ดมรกตขยายตัวออกแล้วหดกลับอย่างรวดเร็ว เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงสิ่งที่มีอันตรายอย่างใหญ่หลวงกำลังเกิดขึ้น คล้ายเป็นลางเตือนภัย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านล่างบริเวณรอบๆภูเขาหายไปอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เองที่เฮ่าน้อยรู้สึกเย็นวาบที่ด้านหลังของเขาเหมือนกับตกอยู่ในหล่มน้ำแข็ง ด้วยประสบการณ์ที่มากมาย อินทรีเกล็ดมรกตบินไปสั้นๆไปอีกจุดหนึ่งในพริบตาก่อนความรู้สึกเมื่อกี้จะค่อยๆหายไป
“อะไรกัน” เด็กน้อยไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ความรู้สึกที่ทั้งร่างกายก็หยุดทำงานไปดื้อๆ ใบหน้าของเด็กน้อยเปลี่ยนเป็นซีดขาว
เจ้าอินทรีเกล็ดมรกตบินไปไกลแล้วโผขึ้นไปซ่อนตัวท่ามกลางหมู่เมฆ แล้วทรงตัวพลางสังเกตการณ์ไปที่พื้นที่ด้านล่าง
ฮู่มมมมม!!
เสียงกระแทกภายในอากาศจนขยายไปทั่วท้องฟ้าและสั่นสะเทือนไป ทั้งหุบเขามืดต่างสะท้านสะเทือน ป่าไม้ที่เต็มไปด้วยใบไม้มากมายที่ปลิวว่อนก่อเกิดเป็นความอลหม่านครั้งใหญ่ ทั้งทวีป ทั้งสวรรค์ ทั้งผืนดินเหมือนกำลังถูกแช่แข็งด้วยรังสีความน่าสะพรึงที่เหมือนจะนำพามาซึ่งหายนะ
ทันใดนั้น เหตุการณ์ที่แสนร้อนระอุในบริเวณหุบเขา บรรดาสัตว์ร้ายและนกอสูรต่างตกอยู่ในความเงียบงันราวกับถูกหยุดเวลาไว้ เพราะทั้งหมดต่างตกอยู่ในความหวาดกลัวอย่างรุนแรง ร่างของพวกมันสั่นระริกอย่างห้ามไมอยู่ ไม่มีตนไหนกล้าแม้แต่จะส่งเสียงออกมา แม้กระทั่งสายเปรี้ยวทั้งหลายอย่าง เซเบิ้ลโลหิต อสรพิษม่วง หรือยูนิคอร์นเพลิงเมฆา พวกมันไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
พลันมีรูปลักษณ์ที่ปกคลุมด้วยเงาดำโผล่ออกมา เหมือนดั่งราชาปีศาจที่แสนสูงส่งลดตัวลงมา พลังที่แสนน่าสะพรึงกลัวปะทุออกมาราวกับว่าจะทะลวงไปถึงสวรรค์ ทั่วทุกทุกแห่งภายในหุบเขาแห่งนี้เหมือนกับกำลังเหยียบย่างเข้าใกล้ความตายที่ละน้อย
กลับเป็นพญาวานรตัวหนึ่ง มันไม่ได้มีขนาดใหญ่อะไรมากมาย สูงเพียงสองเมตรโดยประมาณ ทั่วทั้งร่างปกคลุมด้วยขนสีดำสนิทหนาครึ่งฟุต แต่ที่สร้างความตกตะลึงที่สุดกลับเป็นปีกคู่หนึ่งที่กลางหลังของมัน ใช่แล้ว!! มันไม่ได้เดินมาแต่กลับบินมา บินลงมาจากท้องนภา
“อย่าบอกนะว่า นั่นเป็นวานรปีศาจ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสายเลือดชั้นสูงที่มีความเข้มข้นในสายเลือดสูงมากด้วย มิฉะนั้นปีกคู่นั้นคงไม่ขยายจนสามารถบินได้เป็นแน่” เฮ่าน้อยอ้าปากหวอด้วยความตกตะลึง
วานรปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่โหดเหี้ยมมาก โดยแค่ปล่อยรังสีคุกคามออกมาสามารถทำให้สัตว์ร้ายกว่าหมื่นตัวไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ดวงตาที่เยือกเย็นกวาดมองไปแบบผ่านๆ เพียงแค่นั้นก็ไม่มีสิ่งใดต้านทานได้ นอกจากนี้ ยังมีหมอกสีดำไหลเวียนอยู่รอบๆกาย เป็นรังสีที่สั่งสมมาจากการสังหารสัตว์ร้ายที่น่าเกรงขามมานับไม่ถ้วน
“นี่เป็นราชาแห่งใจกลางหุบเขาอีกแห่งที่อยู่ไม่ไกลจากอาณาเขตของซุนหนี่”
เมื่อวานรปีศาจเหยียบพื้นแล้วดีดตัวไปข้างหน้าด้วยเท้าทั้งสองข้างสูงถึงร้อยเมตรก่อนจะดิ่งลงไปยืนที่กะโหลกหนาๆของเจ้านกหมี
เจ้านกหมีตัวนี้มีความยาวมากกว่าสิบเมตร แน่นอนว่าเป็นสัตว์อสูรที่ร้ายกาจและหายาก ด้วยร่างกายและปีกที่แข็งแกร่งทนทาน มันสามารถโผบินไปได้ทุกแห่งหนสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคน อย่างไรก็ตามในตอนนี้ มันทำได้แค่สั่นไปด้วยความหวาดกลัว ไม่แม้แต่จะกล้าเคลื่อนไหวทำได้แค่หมอบราบคาบก้าวอยู่กับพื้นเท่านั้น
พญาวานรปีศาจนั่งลงบนส่วนที่อยู่สูงสุดของกะโหลกเจ้านกหมีอย่างไม่รีบร้อนแล้วกางกรงเล็บออก ฉึก!! มันกระชากกะโหลกก่อนจะเริ่มมื้ออาหารโดยที่ไม่สนใจใคร ใช่แล้ว!!  มันแค่หิวเท่านั้น
เจ้านกหมีร้องครวญครางออกมาก่อนจะสิ้นใจไปดื้อๆ ตายไปโดยไม่แม้แต่จะได้ขยับกาย เพราะรังสีที่ถูกแผ่ออกมาจิตคุกคามที่สามารถคว่ำสวรรค์ได้กดทับเอาไว้
บรรดาสัตว์ร้ายและนกอสูรทั้งหมดต่างสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว นี่คือราชาวานรที่มีพลังไม่ด้อยไปกว่าซุนหนี่ มันเคลื่อนไหวออกมาจากใจกลางหุบเขาอาณาเขตของมัน มันเข้ามายุ่งเกี่ยวที่นี่ได้อย่างไร
ฟุ่บ!!
เจ้าวานรปีศาจกลืนอาหารเข้าไปอีกคำหนึ่งก่อนจะถีบตัวพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วพุ่งไปยืนอยู่ตรงร่างของซุนหนี่โดยที่ด้านหลังของมันมีสัตว์ร้ายที่ยาวกว่าสิบเมตรที่กระจุยกลายเป็นชิ้นๆ เจ้านกหมีนั่นเอง
นับว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาของราชาวานรดำ เพียงแค่กระทืบเท้าก็ทำให้ท้องฟ้าสั่นสะเทือน แผ่นดินพากันทรุดตัวลง หินถูกทำลายกลายเป็นชิ้นเช็กชิ้นน้อยทำให้บริเวณรอบๆร่างของซุนหนี่โล่งขึ้นมาทันที
มอ!!!
ทันใดนั้น พลันได้ยินเสียงคำรามของกระทิง ร่างอันลุกโชติช่วงกำลังพุ่งมาจากที่ไกลๆ เป็นกระทิงสีแดงกล่ำตัวใหญ่ยักษ์ สูงมากกว่าสิบเมตรและยาวมากกว่าสามสิบเมตร ปรี่เข้ามาด้วยกีบเท้าที่มีเปลวเพลิงห่อหุ้มอยู่
แต่ทั่วทั้งร่างของมันไม่มีเปลวงเพลิงติดอยู่เลย แต่กลับปกคลุมด้วยขนสีแดงเหมือนดั่งโลหิตเปล่งประกายเรืองรองออกมา
“นั่นเป็น ‘กระทิงอสูรเพลิง’ ในตำนานตามที่ท่านปู่เคยเล่าให้ฟังไม่ใช่เหรอ” เฮ่าน้อยเบิกตากลมโตจดจ้องไปด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
ซึ่งฉีหยุ่นเฟิงได้รับฟังจากคำบอกเล่าจากผู้อาวุโสอีกต่อหนึ่ง ตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ ว่าในใจกลางหุบเขาแห่งนี้มีกระทิงเพลิงอาศัยอยู่ มันมีพลังไร้ขีดจำกัดสร้างความหวาดผวาให้กับสิ่งมีชีวิตในหุบเขามืดนี้อย่างมาก คาดไม่ถึงว่ามันจะยังมีชีวิตอยู่
วานรปีศาจคำรามออกมาก่อนจะกระพือปีกทั้งสองข้างก่อนจะพุ่งเข้าไปเผชิญหน้ากับกระทิงอสูรเพลิง รังสีอำมหิตที่สามารถเขย่าสวรรค์ได้ถูกปลดปล่อยมาจากสัตว์ร้ายทั้งสองเหมือนดั่งพายุขนาดยักษ์ทำลายพื้นที่ภายในหุบเขาแห่งนี้
เจี๊ยกกก…
มออออ..
หลังจากเสียงคำรามของทั้งสอง พวกมันเข้าปะทะต่อสู้โดยใช้ชีวิตของทั้งคู่เป็นเดิมพัน เหมือนดั่งวันวิปโยค เมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ต้นไม้โบราณปลิวกระจายเป็นแถบๆ หินยักษ์มากมายปลิวว่อนไปทั่ว
ทันใดนั้น ลำแสงสีทองเปล่งประกายสาดส่อง เป็นเหตุให้พื้นที่ทั้งหุบเขามืดสว่างจ้าดุจกลางวัน ทั้งป่าไม้ ทั้งภูเขาต่างก็ถูกแสงสีทองอาบไล้ ไม่มีใครคาดคิดว่าซุนหนี่จะปลดปล่อยพลังอันน่าเกรงขามนี้ออกมากะทันหัน
ซูมม!!
เหตุการณ์กลับตาลปัตรเพราะ ‘สายฟ้าเก้าสวรรค์’ ที่เขย่าทั้งหุบเขาให้ตกอยู่ในความวุ่นวาย ด้วยสายฟ้าสีทองคำพุ่งทะลวงเข้าใส่ราชาผู้อยู่เหนือสัตว์ร้ายนับแสนทั้งสอง
ฉัวะ!!
นับว่ากะทันหันเกินไปและรวดเร็วเกินไป ทำให้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะป้องกันแม้ว่าราชาวานรปีศาจจะมีปฏิกิริยาตอบสนองดุจสายฟ้าก็ตาม สายฟ้าทองคำเข้าฉีกกระชากแขนข้างหนึ่งและสร้างรอยแผลลากยาวทิ้งไว้ที่ร่างของวานรปีศาจ
ฉับ!!
ในเวลาเดียวกันนั้น กระทิงอสูรเพลิงผู้ที่อาบด้วยเปลวเพลิงจากสวรรค์ เขาและเนื้อบางส่วนของมันถูกกระชากออกก่อนจะล่วงลงกับพื้นด้วยกรงเล็บของซุนหนี่
ภาพตรงหน้าทำให้สัตว์ร้ายและนกอสูรทั้งหมดตกอยู่ในความมึนงง พวกมันทั้งหมดตัวอ่อนยวบและสั่นเทาในทันที หรือว่า ‘จะยังไม่ตาย???’