…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
บางทีมันอาจจะเป็นเพราะคำขู่ของเฉิงเยี่ยนหนานที่ทำให้ทุกคนไม่อยากไปกวนถังซิ่วและหยวนชูหลิงหรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะการสอบเข้าวิทยาลัยที่กำลังใกล้เข้ามาจนไม่อยากจะเสียเวลาให้กับเรื่องไร้สาระ นั้นเป็นเหตุให้ไม่มีใครเข้าไปก่อกวนกับพวกเขาอีกเลย
หลังจากที่วิญญาณได้กลับมารวมกันที่โลกและได้ฝึกวิชาเชื่อมต่อศิลปะแห่งสวรรค์นั้นทำให้เขารู้ว่าพลังในการจำของเขาช่างน่ากลัวเปรียบได้ดั่งกล้องถ่ายรูปที่เมือเห็นอะไรแล้วมันก็จะถูกบันทึกลงไปในสมองของเขาแบบไม่มีวันลืม
ถังซิ่วใช้เวลาสองวันในการจำหนังสือพจนานุกรมเล่มหนาหลังจากนั้นก็เอามันไปเก็บขณะที่เพื่อนร่วมห้องต่างคิดว่าถังซิ่วจะได้ยอมแพ้ในการอ่านแล้วนั้นรวมไปถึงหยวนชูหลิงด้วย
หลังจากนั้นไม่นานถังซิ่วก็ได้ศึกษาวิชาภาษาอังกฤษของมัธยมที่สามจนเข้าใจทะลุปรุโปร่ง ตอนนี้วิชานี้ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขาอีกแล้ว
หลังจากที่สามารถเข้าใจได้อย่างปรุโปร่งแล้วถังซิ่วพบว่าเขาสามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่ฮั่นชิงหวูพูดได้ทั้งหมดแล้วและก็ยังสามารถที่จะโต้ตอบภาษาอังกฤษกับเธอได้อย่างแน่นอน
หลังจากนั้นเขาได้ศึกษาวิชาภาษาจีนต่อหากแต่ว่าโต๊ะนั้นไม่ที่พอให้กับกระดาษข้อสอบทั้งหมดของวิชานี้ได้จึงเลือกส่วนที่โดดเด่นขึ้นมาเพื่อศึกษาตั้งแต่แรกจนสุดท้ายและท้ายที่สุดแล้วเขาก็พบว่าตัวเองสามารถเข้าใจและทำข้อสอบวิชานี้ได้อย่างง่ายดายซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
หลังจากที่จัดการวิชาภาษาอังกฤษและจีนที่จำเป็นต้องใช้ความจำเยอะนั้นถังซิ่วก็ได้เริ่มศึกษา ฟิสิกส์ เคมี และตามด้วย ชีวะ
ด้วยความที่ว่าเขามีพลังในการจำที่ยอดเยี่ยม เขาใช้เวลาอยู่ประมาณสิบวันก็สามารถที่จะจับหลักของพวกมันได้ทั้งหมดสามวิชา
ถังซิ่วกำลังเพลิดเพลินไปกับการใช้ชีวิตในประจำวันที่สงบสุขนี้มากหากเป็นที่ดินแดนแห่งนิรันดร์นั้นเขาคงเป็นไม่ไม่ได้เลยที่จะสามารถรู้สึกแบบนี้ได้
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งเดือนเขาก็เริ่มรู้สึกเบื่อขึ้นมา
เพราะถังซิ่วพบว่าตัวเขานั้นไม่เหลืออะไรจะให้ศึกษาแล้ว จะข้อสอบไหนๆก็ตามที่อยู่บนโต๊ะก็สามารถทำมันได้อย่างสบายใจและสามารถได้คะแนนเต็มทั้งหมด
“จากความรู้ที่เรามีอยู่นี้นั้นคงจะสามารถจัดการกับการสอบครั้งต่อไปได้อย่างอยู่หมัด ถ้าหากว่าเราอยากได้ตำแหน่งที่หนึ่งยังไงก็ต้องตกเป็นเราอย่างแน่นอนแต่แล้วจะทำอะไรกับเวลาที่เหลืออีกตั้งสองเดือนนี้ดีหละ ? ”
เมื่อถังซิ่วเอามือกวาดๆผ่านคู่มือการสอนทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะเขาก็ได้พูดกับตัวเองแบบนั้น
เมื่อถังซิ่วมองไปที่ซูเชียงเฟยอย่างไม่ตั้งใจก็พบถึงแววตาที่เกลียดชังมาจากฝ่ายตรงข้ามทำให้เขานึกขึ้นได้ถึงเรื่องหนึ่งได้ทันที
“เราลืมการบ่มเพาะพลังของเราไม่ได้ยังไงกันเนี้ย ? แม้ว่าโลกนี้จะไม่ได้เต็มไปด้วยการละเลงเลือดเหมือนในดินแดนแห่งนิรันดร์ ไม่จำเป็นต้องมีพลังในการต่อสู้ที่สูงแต่เราก็ต้องมีอะไรไว้ป้องกันตัวเหมือนกัน ”
ถังซิ่วได้ตบหน้าผากตัวเองพร้อมกับกำลังเลือกเทคนิคบ่มเพาะพลังของเขา
วิชาบ่มเพาะพลังที่ปรากฏขึ้นภายในใจของเขานั้นก็คือวิชาเชื่อมต่อศิลปะแห่งสวรรค์ซึ่งแม้ว่าช่วงนี้เขาจะไม่ได้ทำการบ่มเพาะเลยแม้แต่น้อยหากแต่ว่าตั้งแต่เกิดเรื่องที่โรงพยาบาลนั้นที่ทำให้เขาสามารถฝึกฝนวิชานี้ได้นั้นมันได้กลายไปเป็นเหมือนสัญชาตญาณของเขา หลังจากที่เขาหลับแล้ววิชานี้มันก็จะบ่มเพาะพลังด้วยตัวของมันเอง
ความเร็วนั้นอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำแต่ก็ดีเพราะมันจะไม่สร้างความเสียหายอะไรให้กับเขาแต่กลับกัน ทุกๆเช้าที่เขาตื่นขึ้นมาเขากลับรู้สึกสดชื้นขึ้นเป็นร้อยเท่าบวกกับพลังในการรับรู้ของเขาที่แข็งแกร่งขึ้น
หลังจากที่นึกถึงความเจ็บปวดจากการบ่มเพาะพลังครั้งแรกแล้วนั้น ปากของเขาถึงกับบิดไปมาทันทีพลางคิดว่าจะฝึกวิชานี้ดีหรือไม่
หลังจากนั้นเขาก็เรื่องนึกถึงวิชาที่เขาจะใช้บ่มเพาะพลัง
ในสิบวัน ,เขานึกถึงความทรงจำเกี่ยวกับวิชาทุกอย่างที่อยู่ในหัวของเขา เขาเจอเทคนิคที่ผู้คนในดินแดนแห่งนิรันดร์นั้นสู้เพื่อแย่งชิงมันแต่กลับไม่มีประโยชน์อะไรต่อเขาเลย
เพราะว่าเทคนิคเหล่านี้นั้นล้วนต้องการพลังกายที่แข็งแกร่ง มีพื้นฐานการบ่มเพาะที่ดีแต่ตัวเขาในดินแดนแห่งนิรันดร์นั้นมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่จึงสามารถฝึกฝนวิชาเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย
แต่ร่างกายของเขาในตอนนี้อ่อนแอเป็นอย่างมาก ศักยภาพด้านการบ่มเพาะพลังก็เรียกได้ว่าห่วยแตกด้วยซ้ำ แถมอีกอย่างคือที่โลกนั้นแถบไม่สามารถที่จะสัมผัสถึงพลังวิญญาณได้เลยด้วยซ้ำทำให้เขาไม่สามารถฝึกฝนวิชาชั้นเลิศเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ถังซิ่วก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาเริ่มที่จะเรียกความทรงจำในอดีตกลับมาอีกครั้งเพื่อหาวิชาที่เหมาสมและไม่ต้องใช้ศักยภาพ และพลังวิญญาณที่สูงมาก
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ถังซิ่วได้ลองฝึกฝนวิชาเหล่านี้ที่เขานึกได้ดูอย่างใจเย็นแต่ก็พบว่าร่างกายของเขาที่โลกนั้นห่วยแตกเป็นอย่างมาก ยังไม่สามารถเทียบกับตระกูลครึ่งพ่อมดที่ต้อยต่ำที่สุดในดินแดนแห่งนิรันดร์ได้เลยด้วยซ้ำ
หลังจากที่เวลาผ่านไปเรื่อยๆ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเพราะเขายังไม่สามารถที่จะฝึกวิชาบ่มเพาะอะไรได้เลย
“ใจเย็นๆ……. เราต้องใจเย็นไว้, มันจะต้องมีซักวิชาแหละที่เราสามารถฝึกฝนได้ด้วยศักยภาพเท่านี้ เพียงแค่เรายังไม่ได้ลองฝึกมันก็เท่านั้น ฉันจะต้องหามันเจอ”
ถังซิ่วกำลังนั่งปลอบใจตัวเอง
สิ่งที่ถังซิ่วไม่รู้ก็คือเมื่อเขาไม่ได้อ่านหนังสือแล้วแต่กลับนั่งเหม่อลอยไปวันๆ แถมยังไม่ได้ฟังคำพูดของหยวนชูหลิงเลยนั้นจิตใจของ หยวนชูหลิงถึงกับตกฮวบทีเดียว เขาได้แต่มองไปทางถังซิ่วด้วยท่าทางที่ร้อนรน
ไม่ใช่เพียงแค่หยวนชูหลิงเท่านั้นที่เป็นห่วงเขาแต่มันรวมไปถึงฮั่นชิงหวูและเฉิงเยี่ยนหนานด้วย พวกเขาต่างมองไปที่ถังซิ่วอย่างกระสับกระส่าย
บางคนรู้สึกเป็นกังวลเกี่ยวกับเขา บางคนก็รู้สึกดีใจ
“เกือบทำให้ผมตกใจตายแล้ว , ถังซิ่วพึ่งมาถึงห้องเรามันก็เอาแต่นั่งอ่านกระดาษข้อสอบทุกวันๆไม่เคยลุกออกจากโต๊ะไปไหน ตอนแรกผมหลงคิดซะว่าสมองมันกลับมาเป็นปกติแล้วซะอีก นึกว่าจะใช้เวลาสามเดือนเตรียมความรู้ทั้งหมด”
หลังจากกลับถึงบ้าน ซูเชียงเฟยได้พูดพร้อมกระโดดขึ้นบนโซฟา
“นี่ลูกจะบอกว่าตอนนี้ถังซิ่วมันไม่ได้อ่านหนังสือแล้วงั้น ? ”
“มันเอาแต่นั่งอยู่เฉยๆมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว ใจมันอาจจะสู้แต่มันคงไม่มีกำลังพอ มันนั่งอยู่กับที่เหม่อลอยอยู่ทุกวัน บางครั้งที่อาจารย์เรียกชื่อมัน มันยังทำเหมือนอาจารย์เป็นอากาศไปซะงั้นแหละ ”
ซูเชียงเฟยยิ้มมุมปากพร้อมพูดอย่างเหยียดหยาม
“แม่ , แม่คิดว่าเรื่องที่สมองของมันเหมือนกลับมาเป็นปกติเมื่อเดือนที่แล้วนั้นเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าครับ ? บางทีมันอาจจะเป็นเพราะเราไปกดดันมันมากเกินไปมันถึงได้กล้าลงมือกับพ่อได้ยังไงกัน ? ”
ซูหยานหนิงที่กำลังปลอกเปลือกผลไม้ได้เอ๋ยปากถามออกมาอย่างไม่ค่อยสนใจ
ซูชางเหวินยังจำเหตุการณ์ในวันนั้นที่โดนถังซิ่วเหยียบตัวเขาได้อยู่ดี เขาเองก็คิดว่านี้มันแปลกๆแม้ว่าเรื่องจะผ่านไปเดือนนึงแล้ว แต่ เขาไม่เคยอับอายเท่านี้มาก่อนในรอบหลายปีมานี้ทำให้เขาไม่สามารถที่จะลืมเรื่องนี้ได้ลง
“อย่าบอกนะว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงๆหนะ ? ”
ตัวของซูชางเหวินเองนั่งคิดเรื่องนี้อยู่ครึ่งค่อนวัน
“ชางเหวิน ไม่เห็นที่จะต้องคิดเรื่องของมันให้ปวดหัวเลย ไอ้ผู้หญิงราคาถูกอย่างซูหลิงหยุนที่บอกว่าสมองลูกมันกลับมาเป็นปกติแล้วน่ะกับลูกเราที่นั่งดูมันอยู่ทุกวัน คุณยังคิดว่าเขายังจะกระโดดออกจากอุ้งมือคุณได้อีก ? ตราบใดที่มันออกมาข้างนอก ต่อให้มันกลับเป็นปกติแล้วจริงเราก็ทำให้มันไม่ปกติเหมือนก่อนหน้านั้นได้ !! ”
เมื่อเห็นสามีกำลังนั่งคิดหนักซางเหม่ยหยุนจึงได้พูดเพื่อทำให้เขาคิดน้อยลง
แม้ว่าซูชางเหวินจะไม่ค่อยชอบถังซิ่วก็จริงแต่เมื่อได้ยินคำพูดของภรรยาตัวเองแล้วก็ถึงกับรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เมื่อซูชางเหวินได้ยินว่าภรรยาของตัวเองกำลังวางแผนเอาคนไปจัดการถังซิ่ว , ทีแรกเขาก็กำลังจะออกปากห้ามแต่เมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อเดือนก่อนแล้วทำให้เขาเก็บความคิดนั้นเอาไว้
หนึ่งเดือนผ่านไป การสอบรายเดือนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่สามกำลังใกล้เข้ามาแต่ถังซิ่วเองก็ยังไม่สามารถหาวิชาบ่มเพาะพลังที่เขาจะฝึกได้เลย
พลังวิญญาณในโลกมนุษย์นั้นมีอยู่น้อยเกินไป มันเหมือนสถานการณ์ที่สิ้นหวังสำหรับเขา
ถังซิ่วสมัยยังอยู่ดินแดนแห่งนิรันดร์นั้นได้ซื้อวิชาบ่มเพาะพลังและความลับต่างๆไว้มากมาย เขาได้ลองฝึกฝนวิชาเหล่านั้นแล้วก็พบว่าพลังวิญญาณบนโลกยังน้อยเกินไปอยู่ดี
“ถังซิ่วฉันอยากให้เธอตั้งใจกับการสอบรายเดือนที่จะถึงนี้นะ ฉันได้พนันกับอาจารย์ฮูไว้ว่าถ้าคะแนนของเธอตกอีก เงินเดือนของเดือนถัดไปของฉันจะต้องให้เขาทั้งหมดแต่กลับกันเพราะถ้าคะแนนของนายดีขึ้นฉันก็จะได้เงินเดือนของเขาทั้งหมดในเดือนถัดไป อาจารย์จะสามารถรักษาเงินเดือนเอาไว้ได้หรือไม่นั้นมันขึ้นอยู่กับเธอแล้วนะ ”
เมื่อเห็นถังซิ่วดูไม่อยากจะเรียนพร้อมกับการสอบที่ใกล้เข้ามาแล้วฮั่นชิงหวูจึงได้เรียกถังซิ่วเข้าไปในห้องพร้อมกับอ้อนขอเขาด้วยท่าทางของเด็กนิสัยเสีย
เมื่อได้ยินเสียงของฮู่ชิงหวูนั้น, เขามองไปที่ท่าทางโกรธที่น่ารักของเธอพร้อมกับทำให้เขานึกถึงภรรยาของเขาที่อยู่ในดินแดนแห่งนิรันดร์, เชวี่ย ขวินเชิง ที่ทรยศเขานั้น ทำให้ดวงตาของเขาปรากฏแววตาที่ดุร้ายพร้อมดึงร่างของฮั่นชิงหวูเข้ามาและประกบปากเธอด้วยจูบของเขา
การกระทำโดยฉับพลันของถังซิ่วทำให้ฮั่นชิงหวูถึงกับไม่ได้ตั้งตัวแม้แต่น้อย เธอไม่สามารถตอบโต้อะไรเขาได้เลย